ทริปใหญ่ส่งท้ายปี 2561 สำหรับชาว Honda Bigbike บนเส้นทางข้ามประเทศฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจาก จ.มุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 สู่สะหวันนะเขต ดินแดนแห่งแร่ทองคำของประเทศลาว ข้ามไปยังประเทศเวียดนาม พิชิตโค้งและเสียงแตรเข้านอนที่เมืองมรดกโลก “ฮอยอัน” ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกที่ “ดานัง” ลัดเลาะชายทะเลสู่เมือง “เว้” อดีตเมืองหลวงอันเก่าแก่
กับเส้นทางอันหลากหลาย ทั้งถนนที่ยังสร้างไม่เสร็จ หลายร้อยโค้งขึ้นลงเขา ฝ่าพายุฝน ฝ่าเสียงแตรและการจราจรอันวุ่นวาย แต่ก็คุ้มกับการได้เสพอากาศอันหนาวเย็น สถานที่และวิวข้างทางที่สวยแปลกตา ฮอนด้าพาไปเปิดประสบการณ์ใหม่สุดคุ้มค่าขนาดไหนตามผมมาเลย
Day 1 รวมตัวที่ จ.มุกดาหาร
จ.มุกดาหาร บรรยากาศริมฝั่งโขงคือจุดรวมตัวของขบวนรถ Honda Bigbike กว่า 70 คัน ทุกรุ่นตั้งแต่ตระกูล 500 ซีรีย์, 650 ซีรีย์, Reble, NC750X, CB1100, F6C, Africa Twin, X-ADV ไปจนถึง Honda Goldwing โฉมล่าสุด หลายคนที่ร่วมทริปนี้อาจไม่นับว่าวันนี้เป็นวันแรก เพราะได้เริ่มต้นทริปตั้งแต่ขี่รถคู่ใจออกจากบ้านเพื่อร่วมทริปนี้ ทั้งจากภาคใต้ ภาคเหนือ หรือในหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศ มื้อเย็นที่ฮอนด้าจัดเลี้ยงจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพบปะสังสรรค์
รวมถึงการแลกเงินเป็นเงิน “ดอง” เงินของเวียดนาม ที่ทาง Bad Attitude ไกด์นำทางทริปนี้จัดหามาให้แลกกันสะดวก และยังช่วยเซฟเรื่องแบงค์ปลอมเงินปลอมที่เวียดนาม คือถ้าไปแลกเอาข้างหน้ามีความเสี่ยงจะโดนแบงค์ปลอมอยู่ ตรงนี้เลยตัดความเสี่ยงนี้ไป งานเลี้ยงจบลงแบบไม่ดึกนัก เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ ก็ยังไปด้วยความความตื่นเต้นที่จะได้ขี่รถคู่ใจข้ามประเทศกัน
Day 2 : ข้ามมาฝั่งลาว ขี่ทะลุถึง “เมืองฮอยอัน” ประเทศเวียนนาม รวดเดียว
“น้ำโขงไม่เคยขวางกั้น น้ำจันไม่คดโกงใคร น้ำใจสามัคคีเมื่อไร ยกจอกย้อมใจสัมพันธไมตรี” บรรยากาศยามเช้ากับการเดินทางข้ามแม่น้ำโขง ทำให้ผมนึกถึงและฮำเพลงนี้ขึ้นมาในหมวกกันน็อค เข้ากับบรรยากาศขณะที่ขบวน Honda Bigbike ขนาดใหญ่เคลื่อนตัวออกจาก จ.มุกดาหาร ข้าม สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 เป็นครั้งแรกของขบวนมอเตอร์ไซค์จำนวนมากที่สุดที่ข้ามสะพานนี้ และแน่นอนเป็นครั้งแรกของผมด้วยเช่นกัน
7.30 น. การผ่านแดนจุดนี้ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะทางฮอนด้าได้ประสานไว้ก่อนแล้ว และที่สำคัญจะมีจุดให้สลับช่องทางเดินรถ คือจากวิ่งซ้ายในบ้านเราเปลี่ยนเป็นวิ่งขวา โดยในประเทศลาวและประเทศเวียดนามจะเป็นการวิ่งขวาทั้งหมด ต่างจากประเทศไทย
ข้ามมาฝั่งลาวเส้นทางผ่านเมืองสะหวันนะเขต เมืองที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศลาว รวมถึงทองคำ ถนนหนทางเป็นพื้นลาดยางค่อนข้างดีเลยทีเดียว สามารถทำความเร็วได้มากพอสมควรสำหรับจำนวนรถที่เยอะและตั้งขบวนแบบสลับฟันปลา จะว่าไปก็คล้ายๆ กับถนนในชนบทหรือทางหลวงเส้นรองในประเทศไทย
ที่ต้องระวังคือ “แพะ” และ “วัว” ที่ขึ้นมาเดินบนไหล่ทางหรือบนถนนอยู่ตลอดเส้นทาง ระยะทางราว 220+ กิโลเมตร ณ 11.30 น. เราก็พักกินมื้อเที่ยงที่ก่อนถึง “ด่านลาวบ๋าว” ด่านที่จะข้ามไปเวียดนามเพียงไม่กี่กิโลเมตร ที่นี่ผมค่อนข้างชอบเมนูหมูสามชั้นพะโล้แห้ง มั้ง? และก็ส้มตำที่รสจัดจ้านดีจริงๆ
หลังมื้อกลางวันก็ต่อคิวเข้า “ด่านลาวบ๋าว” เพื่อข้ามเข้าสู่เมือง “ดองฮา” ประเทศเวียดนามกันต่อเลย เราเติมน้ำมันกันครั้งที่ 2 หลังจากถังแรกที่เติมจากฝั่งไทย เส้นทางช่วงนี้ถือว่าสวยงามมาก เราวิ่งตีคู่ไปกับ “แม่น้ำเบนไห่”
ที่นี่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะผ่านไปยังเมืองต่างเมื่อครั้งสงครามเวียดนามกับอเมริกา นอกจากวิวที่ตีคู่ไปกับแม่น้ำ ขุนเขา และโค้งให้สนุก ข้างทางยังเป็นสุสานขอคนเวียดนามที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามด้วย
แต่ทางช่วงนี้สวยจริงๆ ผมยังอดไม่ได้ที่ต้อคว้ามือถือมาเซลฟี่ระหว่างขี่รถ ลืมบอก ว่าผมได้ Honda NC750X เป็นรถเดินทางในครั้งนี้ เป็นเกียร์ DCT และมีช่องเก็บของที่เดิมที่เป็นถังน้ำมันเชื้อเพลิง สะดวกมาก จะเก็บของเก็บกล้องก็ไม่เปียกฝน หรือจะยกขึ้นมาถ่ายรูป ไม่ต้องห่วงเรื่องต้องใช้คลัทช์หรือเปลี่ยนเกียร์เลย แจ่มจริงๆ เวรี่กู้ด
การขี่รถในเวียดนามเราไม่สามารถทำเวลาได้ เนื่องจากกฎหมายที่ให้วิ่งไม่เกิน 80 กม./ชม.(ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) และด้วยสภาพการจราจรที่ค่อยข้างอันตราย รวมถึงการวิ่งของรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ทีจำนวนเยอะมาก เราจอดแวะพักที่ปั้มน้ำมันกันอีกครั้งก่อนจะเข้าสู่เมืองดานัง
ช่วงโพล้เพล้ใกล้จะมืด ทางข้างหน้าคือขึ้นเขาและเป็นโค้งแคบๆ กับพื้นที่ฉาบไปด้วยน้ำจากสายฝนอีกหลายสิบกิโลเมตร ทำให้เวลาของขบวนเราล่วงเลยไปจากกำหนดพอสมควร
กว่าจะมาถึงจุดหมายที่ “ดานัง” ก็ค่ำมืด มื้อเย็น(ค่ำ)ที่จัดรอในร้านอาหารบนเรือสำราญขนาดใหญ่ริมแม่น้ำหาน(ฮาน) มี “เมอร์ไลอ้อน” ด้วย???เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ครับ แค่คล้ายๆ ที่นี่เขาเรียกว่า “Ca Chep Hoa Rong” มีตัวเป็นปลาหัวเป็นมังกรพ่นน้ำคล้ายๆ กันเลย
ยัง ยังไม่สิ้นสุดการเดินทางของวันที่ 2 นี้ เพราะที่พักเราไม่ได้อยู่ที่ดานัง แต่เราต้องแว้นกันต่อหลังมื้อเย็น(ค่ำ) เพื่อไปนอนที่ “เมืองฮอยอัน” แต่ด้วยที่ดานังกับฮอยอันไม่ไกลกันมากนักจึงไม่ใช่ปัญหา
เมื่อเข้าสู่ “ฮอยอัน” ในค่ำคืนที่มีการถ่ายทอดสดแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศรายการ AFF Cup เวียดนามพบฟิลิปปินส์ สองข้างทางก่อนถึงโรงแรมที่พักจะพบกับชาวเวียดนามเป็นกลุ่มใหญ่หลายกลุ่ม รวมๆ นับพันคนดูและเชียร์ทีมชาติของตัวเอง บางจุดมีจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ให้ดูกันแต่เหตุการณ์ที่หลายคนไม่เคยเห็นก็จะเกิดหลังจากนี้แหล่ะ!!
รถ Honda Bigbike กว่า 70 ก็เดินทางมาถึงที่พักในคืนที่ 2 ที่ Hoi An Historic Hotel โรงแรมระดับหรูในย่านนี้ ช่วงนี้ก็ Free เลยครับ ใครอยากทำอะไรก็ตามสะดวก แต่ทางฮอนด้าขอความร่วมมือไม่ให้นำรถออกไป เพราะเกรงจะเกิดอันตรายและอาจเกิดปัญหาหลายๆ อย่างตามมาได้ ผมรับกุญแจห้องพักและแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว เข้าห้องพักไม่ถึง 5 นาที เสียงรถมอเตอร์ไซค์หลายร้อยคันก็ดังลั่นไปทั่วทั้งถนน!!?
นี่ล่ะครับที่ผมเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์การฉลองชัยชนะของแฟนบอลเวียดนาม ที่รวมตัวกันหลายร้อนคันขี่รถชูธงชาติร้องตะโกนโหวกเหวกพร้อมเบิ้ลเครื่องยนต์ เต็มทุกถนน ทุกแยก ไม่มีตำรวจ เหมือนไร้การควบคุม น่ากลัวมาก เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย จริงก็เกรงว่ายกมือถือขึ้นมาถ่ายแล้วจะเกิดเรื่องเอาอ่ะครับ
แต่!!! เราก็ยังเดินออกจากโรงแรม กลุ่มกองเชียร์ก็ยังนคงขี่รถฉลองชัยกันรอบเมือง ใจกลางสี่แยก หลายสายตาก็จับจ้องที่ผู้มาใหม่อย่างกลุ่มเรา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ส่วนเราก็หยุดดูนะว่าเขาจะฉลองชัยกันอย่างไรต่อ ก็ไม่ถึงกับอันตรายหรอกครับ แค่เขาฉลองชัยกัน แต่ตอนข้ามถนนต้องระวังมากๆ ไม่รู้ว่ามอเตอร์ไซค์จะโผล่มาจากทิศไหนเลย
หลายคนเดินไปหาของพื้นเมืองกินตามร้านข้างทางที่ยังพอมีเปิดรับนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง ส่วนผมเดินไปกับเพื่อนๆ สื่อฯ และลูกค้า Bigwing เราก็หาร้านนั่งกินธรรมมดาๆ นั่นแหล่ะ แต่เดินหลงไปตาม Google Map เจอ “ผับ” ชื่ออะไรไม่รู้ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบมาก ก็เลยอยากรู้กันว่าผับที่เวียดนามเป็นอย่างไรจึงเดินเข้าไปดูกัน
เพียงโผล่เข้าไปก็เจอกับเสียงเพลงที่ดังมาก มาก บอกเลยว่าดังกว่าผับในไทย แล้วก็โต๊ะที่ว่างเกือบทั้งร้าน คือยังไม่ถึงเวลาเที่ยวหรือเขาไม่เที่ยวแต่อยู่บ้านดูบอลกัน อันนี้ก็ไม่ทราบ
แต่โดยรวมไม่ค่อยน่าเที่ยวเท่าไหร่ เราก็เดินออกเลย(ก็บอกแล้วแค่อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร) สุดท้ายก็ได้ไอติมกินระหว่างเดินกลับเข้าโรงแรมคนละแท่ง ก่อนแยกย้ายห้องใครห้องมัน
Day 3 “ดานัง” นั่งกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกสู่เมืองในหมอก “บานาฮิลล์”
เช้าครั้งแรกในฮอยอัน วันนี้ตามกำหนดการณ์ดูจะไม่ต้องรีบมาก เพราะปลายทางเราไม่ห่างไกลนัก ช่วงเช้าจึงมีเวลาให้เดินชมเมืองเก่า เมืองมรดกโลก สวยดีครับติดที่ว่าอากาศจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนไปหน่อย
และสุดท้ายฝนก็ตกลงมาก่อนหน้าเราจะเดินทางต่อไม่นาน ขบวน Honda Bigbike มุ่งหน้าออกจากโรงแรมประมาณ 10 โมง ด้วยเส้นทางที่ย้อนกลับไปที่ “ดานัง” ในเส้นเดิมที่เราขี่กันมาเมื่อคืน แต่วันนี้เราได้เห็นวิวสองข้างทางเป็นของกำนัล พร้อมๆ เสียงแตรและการจราจรที่ออกแนว “มั่ว” ให้หงุดหงิดกันพอสมควร
จุดหมายแรกของวันนี้อยู่หลังมือกลางวันที่ “วัดลิงอึ๊ง” ที่นี่จะมีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่และสูงที่สุดในเวียดนาม แต่ด้วยสายฝนที่ตกลงมา จึงไม่ค่อยสะดวกในการเดินเก็บภาพมากนัก เราใช้เวลาที่นี่พอสมควรเพราะอาศัยเป็นที่หลับฝนที่มาต้อนรับชุดใหญ่ไปในตัว
ฝนเริ่มซาก็เดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปและจะเป็นที่พักของเราในคืนนี้คือ “บานาฮิลล์” ระหว่างทางเราเจอฝนเกือบตลอดแต่ยังไม่ถึงกับหนักจนเปียกแฉะ
“บานาฮิลล์” ในวันที่มีมรสุม ขบวน Honda Bigbike จอดฝากรถไว้ที่ด้านล่าง รวมถึงอุปกรณ์การขับขี่ต่างๆ ไว้กับรถตู้เซอร์วิส ใครสะดวกเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะก็ยิ่งดี ผมคนนึงล่ะที่เปลี่ยนเป็นอีแตะ และนำขึ้นไปเพียงกระเป๋าที่จัดเสื้อผ้าแค่พอนอนค้างเพียง 1 คืน
เพื่อความสะดวกสบายในการนำขึ้นกระเช้า ซึ่งกระเช้าที่ขึ้นสู่บานาฮิลล์ได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกว่า 1. เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ขึ้นแบบไม่มีการจอดแวะยาวที่สุดในโลกถึง 5,801 เมตร 2. เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่มีฐานสู่ยอดสูงที่สุดในโลกถึง 1,368 เมตร 3.กระเช้าไฟฟ้าที่มีสายเคเบิลยาวที่สุดในโลกถึง 11,587 เมตร 4. เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่มีน้ำหนักรวมของสายเคเบิลมากที่สุดในโลกถึง 141.24 ตัน (ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตครับ)
อย่างที่บอกระยะทางและความสูงที่นั่งขึ้นไปใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว และกระเช้าบางอันจะมีพื้นเป็นกระจกสามารถมองผ่านลงด้านล่างได้เลย ระหว่างทางยังลอยข้ามน้ำตกอีกด้วย
ก็ไม่น่าจะได้เห็นวิวแบบนี้ที่กระเช้าไหนนอกจากที่นี่ ขึ้นถึงด้านบนเราก็พบกับหมอกที่ปกคลุมเมืองทั้งเมืองไว้ เมืองที่มีสถาปัตยกรรมของตึกแต่ละตึกเหมือนปราสาทในนิยาย บรรยากาศก็ดั่งในฝัน(หรือ “ไซเลนฮิลล์” หว่า?)
ผมยืนถ่ายรูปได้พักเดียวก็ต้องรีบเดินตามคณะเข้าตัวโรงแรมด้วยเพราะความมืด สายฝนและความหนาวที่แทรกซึมทะลุชั้นไขมันเข้าไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ ถึงกับออกอาการสั่น
เราพักโรงแรม Mercure Bana Hill French Village ห้องพักสวยน่ารัก ไม่มี่แอร์แต่มีพัดลมเพดาน เครื่องทำความร้อน(ฮีตเตอร์) ไว้ให้พร้อมสรรพ นอกจากความหนาวยังมีสายฝนที่ตกแถมให้ตลอดทั้งคืน
มือค่ำเป็นบุฟเฟ่ ค่อนข้างถูกปากทีเดียว โดยเฉพาะเนื้อย่างกับเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มไปโม้ไปกับเพื่อนๆ ที่ขี่รถมาด้วยกัน เคล้าบรรยากาศที่ผมได้กล่าวไว้ สุขใจเสียจริงๆ จนเวลาล่วงเลยไปดึกพอสมควร เราถึงแยกย้ายกันไปฝังตัวใต้ผ้าห่มห้องใครห้องมัน
Day 4 เที่ยวสะพานมือ Golden Bridge ก่อนมุ่งหน้า “เมืองเว้”
ฝนบนบานาฮิลล์ตกแบบแปลกๆ คือหนัก หนักมาก ปรอยๆ และมีพักหยุดตกบ้าง สลับกันไปทุกๆ 10 – 15 นาที เมื่อได้จังหวะในหยุด ผมก็รีบเดินไปจุดลงกระเช้าไปยัง “สะพานมือ” ไฮไลท์ของที่นี่ ซึ่งจุดลงกระเช้าจะเป็นคนละจุดกับที่ขึ้นมาจากด้านล่าง จะอยู่ต่ำลงไปจากจุดที่เราอยู่
สะพานมือ Golden Bridge หรือ Cau Vang ถ้าลองเซิสใน Google จะพบว่าสวยมากในวันที่ฟ้าเปิด แต่ในวันที่เราไปเต็มไปด้วยหมอก ลม และสายฝน ภาพจึงออกมาอย่างที่เห็น ฮ่า ใกล้กันก็จะมีสวนดอกไม้ให้เดินถ่ายรูปกันด้วยนะ แต่ความหนาวจากลมและฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ผมจึงขอบายขึ้นกระเช้ากลับไปอาบน้ำเตรียมเดินทางต่อดีกว่า
และก็นั่นล่ะครับ ผมหลงทางลงกระเช้า รู้ตัวอีกทีก็เมื่อกระเช้าโผล่พ้นม่านหมอก จนมองเห็นที่จอดรถด้านล่าง ทำให้ต้องนั่งวนกลับขึ้นมาใหม่ คือจุดขึ้นลงจะมีแยกกันอยู่ครับแต่ผมลงผิดเอง อันนี้โทษใครไม่ได้ ดีนะมีคนหลงนั่งลงมาเป็นเพื่อนด้วย อิอิ
ทุกคนลงกระเช้ามาพร้อมกันที่รถก็เกือบๆ บ่ายโมง หลายคนติดเวลาที่กระเช้าหยุดพักเที่ยงนั่นเอง เมื่อพร้อมขบวน Honda Bigbike กว่า 70 คันก็มุ่งหน้าสู่ “เมืองเว้” เมืองมรดกโลก เส้นทางที่ไปมีขึ้นเขาลัดเลาะเลียบชายทะเล เป็นอีกเส้นทางที่มีวิวสวยงามมาก
ก่อนจะมากิน Seafood แบบจัดหนักเป็นมื้อกลางวัน(บ่ายแก่) ที่ร้านอาหารแห่งนี้จะมีพนักงานมาช่วยแกะปูและกุ้งให้ตามโต๊ะด้วย เสร็จจากมื้อกลางวันเราก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเว้
การจราจรในเมืองเว้วุ่นวายนุงนังเป็นปกติของเวียดนาม และถือว่าวุ่นวายที่สุดในการเดินทางของทริปนี้ ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เขตเมืองเสียงแตรก็ลั่นตลอดทาง ทั้งของเราทั้งของชาวเวียดนามบีบแข่งกันไป จนถึงโรงแรม Huong Giang Resort & Spa
เสร็จกิจธุระส่วนตัวกันแล้วไปเดิน “ตลาดดงบา” มีรถบัสพาไปสบายๆ ไม่ต้องเปียกฝนที่ตกแบบไม่มีทีท่าจะหยุด ที่ตลาดดงบาผมมองดูบรรยากาศก็คล้ายๆ ตลาดหลายๆ ที่ที่ไทย แต่ของที่นี่หลายชนิดถูกมาก แต่ต้องต่อแบบหารครึ่งเลยนะ
แถมแม่ค้าที่นี่ยังมือถึง คือพร้อมจะสะกิดหรือดึงแขนให้อยู่ดูหรือซื้อของของเขา หลายคนได้หมวกแก๊ปไปเป็นโหลๆ เป็นของฝาก หรือเสื้อคลุมกับกระเป๋ายี่ห้อ The North Face ของระดับ 5A ที่ขึ้นชื่อของเวียดนาม ช็อปฯ กันเสร็จสมอารมณ์หมายทยอยนั่งรถบัสกลับโรงแรม
มื้อค่ำคืนนี้เป็นปาร์ตี้ส่งท้ายทริปด้วยอาหารบุฟเฟ่ต์ พร้อมการแสดงดนตรีที่บรรเลงโดยสาวชาวเว้ มาในชุดแบบเดียวกับชุดในสมัยที่เล่นถวายจักรพรรดิ
นอกจากนี้ยังมีการประกวดการแต่งกายเป็นสาวชาวเวียดนามของทีมแม่บ้านที่ซ้อนมาอีกด้วย เป็นที่เฮฮาสนุกสนานส่งท้ายก่อนแยกย้ายเข้าห้องพักกันอย่างแฮปปี้
Day 5 วัดเทียนมู่ เว้ – ลาว – ไทย ยิงยาวฝ่ามรสุมรวดเดียว
วันสุดท้ายของทริปใหญ่ครั้งนี้ เราจะขี่ยิงยางจากเว้ เข้าไทยกันรวดเดียว ระยะทางราวๆ 400 – 500 กิโลเมตร ดูว่าไม่ไกลแต่อย่าลืมว่าทำความเร็วไม่ได้บางช่วงขี่ได้ไม่ถึง 80 กม./ชม. ลากยาวเป็นร้อยกิโลเมตร!!
ก่อนเดินทางไกลเราได้แวะไหว้พระที่ “วัดเทียนมู่” วัดพุทธศาสนา นิกายเซน ที่มีหอคอย 8 เหลี่ยมตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
ขบวน Honda Bigbike กว่า 70 คัน ก็ตั้งแถวคู่สลับฟันปลาฝ่าสายฝนเดินทางกลับกันต่อ ฝนที่กระหน่ำตลอดทางทำให้เราแวะพักเติมน้ำมันเชื้อเพลิงกันนาน เพราะทั้งเปียกและหนาว
ทุกปั้มที่แวะนอกจากนจะมีเครื่องดื่ม ผ้าเย็น และการบริการจากทีมไกด์ Bad Attitude แล้ว ก็จะมีไกด์ชาวเวียดนามเอากาแฟร้อนมาเสิร์ฟทุกครั้ง
แหม่!! รสชาติพอได้ แต่ความร้อนของกาแฟช่วยแก้หนาวได้ดีเลย ซดซะตาสว่าง แต่ซดมากก็จะปวดฉิ่งฉ่องนะไม่มีจอดข้างทางให้ยิงกระต่ายด้วยจำไว้ แต่ผมว่ามีคนขี่ไปปล่อยไปด้วยให้สายฝนมันพัดพาไปเนียนๆ เชื่อสิ!!!
21.00 น. เราก็ถึงด่านชายแดนไทย จบทริปด้วยระยะทางที่ผมกด Trip ไมล์ตั้งแต่วันออกจากด่านคือ 1,154 กิโลเมตร แม้ระยะทางไม่ได้มากมายถ้าเทียบกับจำนวนวันที่เดินทาง
แต่การได้เห็น ได้สัมผัส ได้ความสนุก ได้เพื่อนใหม่ ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ที่มีค่ามากกว่าเลขไมล์อย่างมหาศาล จบทริป Honda Bigbike 2018 อย่างประทับใจ …ปี 2019 นี้ Honda มีทริปและกิจกรรมเปิดประสบการณ์เพียบอีกแน่นอน อย่าพลาดก็แล้วกัน!!
ภาพทั้งหมดกว่า 300 รูปนอกเหนือจากในนี้ คลิกเลย
ขอบคุณ : บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด , Honda Bigbike Excites The World , เสื้อแจ็คเก็ต Rev’it จาก Panda Rider กางเกง Badass Jeans