Royal Enfield Himalayan สร้างขึ้นเพื่อทุกสภาพถนน แม้จะไร้ซึ่งถนน

Royal Enfield นำเอาประสบการณ์กว่า 60 ปี ในการผจญภัยบนเทือกเขาหิมาลัย มาหล่อหลอมร่วมกับจิตวิญญาณจากถิ่นกำเนิด ในการสร้างมอเตอร์ไซด์ในรูปแบบ Adventure ขนาดกลาง ด้วยแนวคิดที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถเข้าถึงทุกสภาพภูมิประเทศได้ จนถือกำเนิดเป็น Royal Enfield Himalayan

0
Himalayan

Royal Enfield Himalayan ในเวอร์ชั่นปี 2020 ถูกออกแบบมาด้วยแนวคิดที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน โดยใช้เฟรมแบบ Deplex Split Cradle ที่มีความแข็งแกร่งและคล่องตัว ด้วยความสูงจากพื้นเพียง 800 มม. ทำให้ความสูงของคนเอเชียไม่ใช่ปัญหาในการขับขี่ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 411 cc. 24.5 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที ระบายความร้อนด้วยอากาศ ช่วยลดปัญหาความร้อนจากหม้อน้ำหากใช้ในขับขี่ในเมือง

การเดินทางทดสอบครั้งนี้ ผมออกเดินทางจาก Royal Enfield ทองหล่อ ไปยัง ณ เขาไผ่ จ.ชลบุรี ซึ่งได้ลองทดสอบขับขี่ทั้งในเมือง ทั้งทาง On Road ทั้ง Adventure และไฮไลท์อยู่ที่การขับขี่แบบ Off Road บนเส้นทางที่เราคาดไม่ถึงว่าจะไปได้ เอาเป็นว่าได้สัมผัสทุกรูปแบบเส้นทางกันตาม Concept เลยทีเดียว

ทางดำก็ทำได้ดี

ในเส้นทาง On Road จากศูนย์ทองหล่อ ไปยังศูนย์พัทยา ด้วยความเร็วเฉลี่ย 110-120 km./hr. ซึ่งการเดินทางด้วยความเร็วระดับนี้กับรถขนาด 411 cc. ถือว่าทำได้สบาย และอยู่ในระดับที่อัตราการสิ้นเปลืองทำได้ค่อนข้างประหยัดมากทีเดียว

ด้วยเครื่องยนต์สูบเดียว 4 จังหวะ มาตรฐานไอเสีย Euro 4 จุดที่โดนเด่นมาก ๆ คือเรื่องของความประหยัดน้ำมัน และท่าทางการขับขี่ที่สบายมากลงจากรถไม่มีอาการเมื่อยล้าซักนิด (ข้อสังเกตุหากใช้ความเร็วสูงกว่านี้ระยะเบรคอาจจะยาวไปหน่อย อาจแก้ไขโดยการเปลี่ยนผ้าเบรคดี ๆ ซักชุดก็จะดีมาก)

ทางฝุ่นก็สบายสบายนะคราฟ

หลังจากแวะพักที่ศูนย์ Royal Enfield พัทยา ก็ออกเดินทางไปยังเขาไผ่ จ.ชลบุรี ซึ่งจะเป็นทางรูปแบบ Adventure และ Off Road ซึ่งเจ้าิมาลายันก็ยังสามารถตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร ด้วยยางติดรถที่เป็นยางแบบ ADV All Terrian ขนาดยางหน้า 90/90-21 หลัง 120/90-17 ทำให้สามารถลุยไปได้ทุกสภาพถนน ถึงแม้ตัวรถจะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทาง Off Road ก็ตาม แต่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ ในระดับที่เรียกว่า มือใหม่ก็ยังสามารถควบคุมมันได้

พื้นเป็นทรายก็ไม่หวั่น

ด้วยเส้นทางบนเขาไผ่ เป็นที่ทราบกันดีว่า ภูมิประเทศมีทั้งที่ราบสูง แนวเขา พื้นดินปนทราย ผนวกกับแนวร่องน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ ทำให่้การทดสอบเหมาะกับรถแนว Off Road หรือ Enduro มากกว่า รถสไตล์ Adventure Touring แต่เกินความคาดหมาย ิมาลายันสามารถพาเราไปได้ในทุกสภาพจริง ๆ อาจจะมีบางช่วงที่เกินขีดจำกัดไปบ้าง แต่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้ดั่งใจ

เจอน้ำก็ไม่หวั่น

อย่างที่ตั้งข้อสังเกตุเรื่องระยะเบรคไว้ตั้งแต่แรก ๆ แต่พอถึงสภาพถนนที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว แต่ต้องใช้ความแม่นยำในการเบรค สามารถควบคุมได้ดี สมดุลกับขนาดเครื่องยนต์ และน้ำหนักรถที่หนักกว่า รถประเภท Enduro

himalayan

แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่มีแรงบิด 32 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบ/นาที ทำให้การไต่ขึ้นทางชันมาก ๆ ต้องมีการเปิดคันเร่งเบิ้ลส่ง เพื่อให้รอบเครื่องยนต์มีกำลังในการไต่ทางชันได้ มิเช่นนั้นกำลังเครื่องจะไม่พอในการไต่ทางชันมากมาก

สุดมั้ยละ

ถึงแม้หิมาลายันจะถูกออกแบบมาให้เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ในเรื่องของเทคโนโลยีก็มีมาให้ได้ใช้งาน เช่น Anti-lock Breaking System (ABS) หรือ เข็มทิศที่ใช้ในการเดินทางไกล รวมถึงระบบกันสะเทือนทั้งหน้า หลัง ที่ให้ความนุ่มนวล และสมบุกสมบันไปพร้อมกัน

ไม่ไหวบอกไหว
ว่าไงใจถึงก้อไป
ฮึบฮึบ

Royal Enfield Himalayan เวอร์ชั่นปี 2020 ได้รับการอัพเกรดขุมพลังด้วยเครื่องยนต์รหัส LS410 รองรับมาตรฐานไอเสีย Euro 4 ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้ที่หมดจด ช่วยลดมลพิษ และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ความจุถังน้ำมัน 15 ลิตร +/- 0.5 ลิตร ซึ่งเครื่องยนต์รหัส LS410 ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิาพสูง แต่บำรุงรักษาง่าย ระบบส่งกำลังเป็นแบบ 5 สปีด อัตราทดเกียร์ข้อนข้างกว้าง แต่ไม่ใช่รถที่มีความเร็วปลายสูงมาก

ยางดี รถพร้อม ไปได้
เพื่อนร่วมทริปที่เหนื่อยด้วยกัน สนุกด้วยกัน
บทสรุปของการทดสอบ

ผมอยู่กับมันทั้งวัน หิมาลายันเป็นรถที่สร้างความแปลกใจให้ผมได้ในหลายเรื่อง ทั้งสมรรถนะที่ไปได้เกินขีดจำกัดที่เราคิดไว้ ทั้งมิติของรถที่ดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นนักสู้ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคข้างหน้า อีกทั้งผู้ขับขี่สามารถปรับตัวเข้าหารถได้ไม่ยาก

แต่อย่าถามหาเรื่องความเร็วปลายสูง ๆ หรือการเอาไปลุยในรูปแบบเอ็นดูโร่หนักๆ ซึ่งมันไม่ใช่คาร์แร็คเตอร์ของ Royal Enfield Himalayan ถ้าชอบขี่เข้าป่าหารถเอ็นดูโร่ใช้ เบาแรงกว่าเยอะ

ท้ายสวย ๆ เรียว ๆ
RE Himalayan

สำหรับผู้ที่สนใจใน Royal Enfield Himalayan สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ website ของ Royal Anfield Thailand ด้วยสนนราคา 169,800 บาท มี 3 สีให้เลือก พร้อมรับประกันเครื่องยนต์ 2 ปี หรือ 20,000 กม.

รู้จักรหัส RR ของ CBR Series พิเศษขนาดไหน คลิก
Aprilia RSV4RF ตัวลิมิเต็ด โคลนจากรถแข่ง WorldSBK
Ducati Panigale V4 แต่งเต็ม ลงล่าแชมป์ SB2 ใน OR BRIC Superbike
รีวิว ทดสอบ Honda CBR250RR แบบเต็มๆ คลิก
คลิป รีวิว ทดสอบ CBR250RR คลิก
CBR400RR และ VFR400R ตำนานรถ 400 ซีซี คลิก
ทดสอบ รีวิว CBR Series คลิก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่