[รีวิว] Royal Enfield Interceptor 650 และ Continental GT 650 เฮ้ย! นี่มันใช่ RE จริงเหรอ!

0
Royal Enfield Twin 650
หลังจาก Royal Enfield ได้เปิดตัวรถรุ่น Interceptor 650 และ Continental GT650 กับเครื่องยนต์แบบ 2 สูบขนาด 650 ซีซี ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ในไทยก็ได้จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนได้ทดสอบทั้ง 2 รุ่น ถึง จ.ภูเก็ต งานนี้ทำให้ผมประหลาดใจสุดๆ เรื่องอะไร อย่างไร อ่านต่อเลยครับ

ถ้าจะพูดถึง Royal Enfield ในปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก นอกจากจะเข้ามาทำตลาดในไทยได้เกือบๆ 4 ปีแล้วยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีซะด้วย ลูกค้าเพียบ กับรถสไตล์คลาสสิคที่มีเครื่องยนต์สูบเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยรุ่น Bullet 500, Classic 500, Continental GT 535 และ Himalayan LS 410 กอปรกับการเดินทางออกไปขี่รถในต่างประเทศเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือที่ เลห์ – ลาดัก ประเทศอินเดีย ถือเป็นหนึ่งในสถานที่(ที่มีหลายเส้นทาง) ที่นักบิดหลายคนตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องไปเยือนให้ได้ซักครั้ง

Royal enfield
ผมกับ Royal Enfield Bullet 500 เมื่อครั้งไปเยือน เลห์-ลาดัก ประเทศอินเดีย ขอบคุณชุดขับขี่ Rev’it จาก Panda Rider ด้วยครับ

และรถที่ใช้ในการเดินทางบนเส้นทางสุดทรหดนั้นคือ Royal Enfield นั่นเอง เรียกได้ว่ามากกว่า 99% เลยมั้ง ซึ่งตัวผมเองเคยไป เลห์-ลาดัก มาแล้วเช่นกัน เจอ KTM 200Duke อยู่คันเดียว ครั้งเดียว ที่ไม่ใช้ Royal Enfield ซึ่งทริปนั้นผมใช้ Royal Enfield Bullet 500 ตลอดการเดินทางเกือบ 2 สัปดาห์บนสุดทรหดนั้นๆ  ไว้จะมาเขียนประสบการณ์ที่ไปให้อ่านกันในโอกาสต่อไป

ที่ประเทศไทยผมเองก็มีโอกาสได้ขี่ Royal Enfield ทริป 2017 Tour of Thailand ที่จัดเป็นครั้งแรกในไทย ร่วมกับนักบิดจากประเทศอินเดียหลายคนกับระยะทางที่มากกว่า 1,500 กิโลเมตรในภาคเหนือของไทย

ที่เกริ่นมายาวเหยียด เพราะจะบอกว่าผมเองมีประสบการณ์ที่ได้ขี่ Royal Enfield เครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 500 ซีซี มาพอสมควร ด้วยเอกลักษณ์ ความชัดเจนของการทำงานของเครื่องยนต์ จนเป็นบุคลิกเฉพาะของ Royal Enfield และเมื่อรอยัล เอ็นฟิลด์เปิดตัวรถและเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ทำให้ผมพอคาดเดาบุคลิกของรถรุ่นใหม่ของรอยัล เอ็นฟิลด์ได้ไม่ยาก ฮั่นแน่!! แต่มันผิดถนัด ทำไมล่ะ??

เครื่องยนต์ Parallel Twin 650 ใหม่สุดๆ

ไฮไลท์ที่ต้องพูดถึงก่อนเลยก็คือ “เครื่องยนต์” ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รูปแบบหรือ Pattern ใหม่ทั้งหมดของรอยัล เอ็นฟิลด์ จากเครื่องยนต์แบบสูบเดียวที่มีปริมาตร 500 ซีซี และ 535 ซีซี (เฉพาะที่ขายในประเทศไทย) สู่เครื่องยนต์แบบ Parallel Twin 2 สูบ ปริมาตร 650 ซีซี คือมี 2 สูบด้วยและมีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย มันน่า “ว้าว” มาก

เครื่องยนต์หมุน 270 องศา ออกแบบโดยวิศวกรจาก Triumph Motorcycles  

ตามหัวข้อเลยครับ เครื่องยนต์ใหม่ลูกนี้ถูกออกแบบโดย มร.มาร์ค เวลส์ (Mark Wells) หัวหน้าด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการออกแบบเชิงอุตสาหกรรมของรอยัล เอนฟิลด์ ซึ่งเขาเคยทำงานด้านนี้ให้กับทาง Triumph Motorcycles มาก่อนนั่นเอง แน่นอนว่าความรู้และบางเทคโนโลยีคงไม่ไปไหนเสีย แฮร่!!

เครื่องยนต์ Parellel Twin  2 สูบเรียง สิ่งที่พิเศษคือการออกแบบให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุนที่ 270 องศา ทำให้ทั้ง 2 สูบขึ้นไปจุดระเบิดและคายในจังหวะที่ไล่เลี่ยกัน ถ้าเทียบกับแบบ 180 องศาที่จะสลับกันขึ้นและลงจนสุด หรือแบบ 360 ก็จะขึ้นและลงพร้อมๆ กันทั้ง 2 สูบ …ผลที่ได้มาคือความเนียนความสมู้ทแต่ยังคงไว้ซึ่งจังหวะและเสียงการทำงานของเครื่องยนต์(ท่อ)ที่เร้าใจนั่นเอง บรึ๊นนๆๆๆ ประมาณนี้ ถ้าเจอผมแล้วจะทำเสียงให้ฟังนะ ฮ่า

interceptor 650

Spec ยังมาในแบบ Easy Got Back!

ผมไปสะดุดกับประโยค “Easy Got Back” ในใบโบรชัวร์ของ RE เข้า ซึ่งมันก็อธิบายความเป็น Royal Enfield ได้ดี คือความ “ง่าย” ง่ายในที่นี้คือ การกลับไปสู่จุดที่รถไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์อะไรเยอะ ง่ายต่อการใช้งาน ง่ายต่อการดูแล ร้านไหนก็ซ่อมได้ แม้แต่ในทางเทคนิคของเครื่องยนต์และตัวรถยังออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่ทนทานนั่นเอง  มาดู “สเป็ค” หรือข้อมูลทางเทคนิคกันหน่อย

เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง SOHC “แคมเดี่ยว” 4 วาล์วต่อสูบ ปริมาตรความจุ 648 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศเหน็บออยคูเลอร์ขนาดกะทัดรัดลงตัวกับจุดที่ติดตั้ง จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดของ Bosch เครื่องยนต์ให้กำลัง 47 แรงม้าที่ 7,250 รอบ/นาที มีแรงบิด 52 นิวตันเมตรที่ 5,250 รอบ/นาที อัตรากำลังอัดต่ำเพียง 9.5:1 การสึกหรอและความร้อนสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย เกียร์ 6 สปีด และมี Slipper clutch ด้วยนะ

ช่วงล่างชุดเดียวกันทั้ง 2 รุ่น

นอกจากเครื่องยนต์ที่ใช้ด้วยกันแล้วช่วงล่างก็เป็นแบบเดียวกันทั้ง 2 รุ่น โช้คอัพหน้าแบบเทแลสโคปิคขนาด 41 มม. มีช่วงยุบ 110 มม. โช้คอัพหลังคู่เป็นโช้คแก๊สแบบ Piggyback ปรับสปริงพรีโหดได้ 5 ระดับ ดิสก์เบรกหน้าขนาด 320 มม. คาลิปเปอร์ขนาด 2 ลูกสูบของ Bybre (จาก Brembo) ดิสก์เบรกหลังขนาด 240 มม. คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS จาก Bosch ทั้งหน้าและหลัง ล้อซี่ลวดขนาด 18 นิ้วทั้งหน้าหลัง รัดด้วยยาง Pirelli Pirelli Phantom SportsComp หน้าขนาด 100/90-18 หลังขนาด 130/70-18

จับสลากแบ่งสาย แล้วเริ่มขี่กันเลย

มาขี่กันเลยดีกว่า Royal Enfield Thailand จัดการขี่ทดสอบทั้ง 2 รุ่นโดยให้จับฉลากว่าจะได้อยู่กลุ่ม A หรือ B ซึ่งกลุ่ม A จะเริ่มจากรุ่น Interceptor 650 ส่วนกลุ่ม B จะเริ่มด้วย Continental GT650 โดยมีเส้นทางการวิ่ง 2 เส้นทาง แต่มาบรรจบกันเพื่อสลับรถและขี่ต่อในเส้นทางที่อีกกลุ่มขี่มา ทุกคนก็จะได้ขี่ครบทั้ง 2 รุ่นโดยไม่ซ้ำเส้นทางเดิม

Mr. Siddhartha Lal (สิทธัตถะ) CEO ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์และอาณาจักร Royal Enfield

ผมจับสลากได้กลุ่ม A เริ่มจาก Interceptor 650 ที่น่าประทับใจอีกอย่างคือตลอดการทดสอบ Mr. Siddhartha Lal (สิทธัตถะ) CEO ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์และอาณาจักร Royal Enfield พร้อมกับ มร.มาร์ค เวลส์ ที่ผมเขียนถึงในตอนต้น รวมถึงทีมมาร์แชลจากอินเดียจะร่วมขี่ด้วยทั้ง 2 กลุ่ม และกลุ่ม A จะมีคุณ “ปก-นพพล” เป็นมาร์แชลขี่ปิดท้ายขบวน โดย “คุณสิทธัตถะ” จะเริ่มขี่กับกลุ่ม A กลุ่มในที่ผมจับฉลากได้นั่นเอง

มร.มาร์ค เวลส์ (Mark Wells) หัวหน้าด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการออกแบบเชิงอุตสาหกรรมของรอยัล เอนฟิลด์
Royal Enfield Interceptor 650

ท่านั่งของ Interceptor650 อยู่ในท่าที่สบายมากๆ แฮนด์เดิ้ลบาร์สูงพอเหมาะ เบานั่งยาว และความสูง 804 มม. บวกกับช่วงขาหนีบและถังน้ำมันขนาด 13.7 ลิตร ไม่กว้างและไม่แคบวางก้นวางขาได้กำลังดีทีเดียว เมื่อวางเท้าได้ถนัดน้ำหนักตัวที่ 202 กิโลกรัมจึงไม่ใช่ปัญหา ออกจากโรงแรมสู่ทางหลวงทางหลักก็หวดกันเลย เส้นทางจากภูเก็ตข้ามสะพานสารสินมุ่งหน้าไปพังงา ด้วยสภาพเส้นทางและรูทที่ทีมงานจัดให้ขี่ทดสอบต้องบอกเลยว่าดีมาก มีทั้งทางโค้ง Hi Speed และโค้งต่อเนื่องนับร้อยโค้งไปจนถึงทางตรงที่สามารถยัดกันได้เต็มคันเร่งทุกเกียร์ และมาร์แชลรวมถึง “คุณสิทธัตถะ” ก็พาบิดแบบเต็มปลอกเช่นกัน

เรื่องประหลาดใจ ที่พูดถึงในตอนต้น

เรื่องที่ผมประหลาดใจหลังจากบิดคันเร่ง Interceptor ออกไปแล้วจากที่กล่าวไว้ในตอนต้นก็คือ!! นี่คือรถยี่ห้อรอยัล เอ็นฟิลด์แน่หรือ??? ทำไมมันถึงได้สมู้ทนุ่มนวลผิดกับรุ่นที่เป็นเครื่องยนต์สูบเดียวทุกรุ่น!! ความสมู้ทที่ผมพูดถึงก็ไม่ได้เนียนเรียบแบบรถเครื่องยนต์ 4 สูบรอบต่ำๆ นะ ยังมีแรงกระทำและเสียงคำรามของเครื่องยนต์ให้เร้าใจหรือรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา คลัทช์ที่มี Slipper Clutch ติดตั้งมา นอกจากช่วยตอนการลดเกียร์ลง ยังนิ่มนิ้วเบาแรงเวลาบีบ ใช้ 2 นิ้วสบายๆ จะมีอีกนิดคือยางติดรถ ตอนความร้อนยังไม่ได้จะมีอาการนิดๆ แต่พออุณหภูมิได้ที่ก็พร้อมบวก หนึบๆ เลย

ทรงงี้ 170++ พอไหม

ด้วยความแปลกใหม่สำหรับผมบนอานรถยี่ห้อรอยัล เอ็นฟิลด์ กลายเป็นความสนุก แบบนี้ก็มันส์สิครับ กดคันเร่งแซงเพื่อนร่วมกรุ๊ปขึ้นไปตามหลัง “คุณสิทธัตถะ” ที่ตามหลัง “อดาส” มาร์แชลมือ 1 ชาวอินเดียอยู่อีกทีหนึ่ง ความเร็วบนเรือนไมล์บอกที่ 160 กม./ชม. แบบยังเหลือๆ เหลือสิ เหลืออดที่ผมจะแซงผ่านคุณสิทธัตถะขึ้นไปจนได้ ฮ่า ด้วยความเร็วเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดู เพราะหมอบดูแต่ทาง ใช่นั่นรวมถึงความเร็วสูงสุดด้วย แต่เกิน 170 แน่ๆ เชื่อดิ อ่อ! และจริงๆ เขามีกฎกติกาว่าห้ามแซงมาร์แชล ผมก็ยังไม่แซงมาร์แชลนี่ แค่แซงเจ้าของรอยัล เอ็นฟิลด์ก็แค่นั้นเอง

จะบอกว่านอกจากเครื่องยนต์ที่มีพลัง ไม่สั่นสะท้าน ขี่สนุกต่างจากบุคลิคความเป็นรอยัล เอ็นฟิลด์ ที่เคยขี่มา ช่วงล่างก็ถือว่าดีเลยล่ะ ในความเร็วทางตรงสูงๆ ด้วยสไตล์รถที่ต้องปะทะแรงลม แม้จะก้มหมอบจะช่วยได้บ้างก็ตาม ช่วงล่างยังให้ความรู้สึกที่มั่นคง แน่น คาคันเร่งที่ 160-170 สาดโค้งกว้างได้สบายๆ นี่เรื่องจริง!! (แล้วมีเรื่องไหนหลอก ไม่มี๊!)  โค้งแคบโค้งต่อเนื่องก็ทำได้ดี Interceptor 650 เข้าโค้งสั่งได้ เข้าง่ายโดยไม่ต้องจัดท่า แต่ถ้าเร็วมากๆ จัดหน่อยก็ดี จะเลี้ยวในความเร็วสูงได้คล่องตัวขึ้นอีกเยอะ พอๆ เปลี่ยนรุ่นๆ

Royal Enfield Continental GT650

มาลองแนว Café Racer บ้าง แน่นอนท่าขี่ที่ต่างจาก Interceptor พอสมควร แฮนด์ของ Continental GT650 จับใต้แผงคอ พักเท้าเยื้องไปด้านหลัง อยู่ในท่าหมอบขี่แต่ก็ไม่ถึงกับต้องก้ม เพราะแฮนด์ที่ยึดใต้แผงคอแต่ก้านแฮนด์ยกขึ้นมาสูงกว่าแผงคอเล็กน้อย ถังน้ำมัน 12.5 ลิตร เบาะตูดมดนั่งคนเดียว แต่เฟรมตัวเดียวกันจึงมีพักเท้าคนซ้อนติดมาเหมือนกัน ใครที่ชอบทรงนี้แต่มีคนซ้อนก็ต้องเปลี่ยนเบาะล่ะนะ(เขามีให้(ขาย)เปลี่ยน) หรือสาย Custom จะ ตัด เจาะ หั่น เฉือน ก็ตามสะดวก

ในช่วงบ่ายที่ต้องมาสลับขี่ Continental GT650 พร้อมมาร์แชลชุดเดิมเพิ่มเติมคือ มร.มาร์ค เวลส์ คนออกแบบ Twin 650 นี้ จะร่วมขี่อยู่ในกลุ่มเรา แต่ “คุณสิทธัตถะ”จะไปกับกลุ่ม B สลับกันตามนั้น!!  ลงจากทรงนั่งขี่สบายๆ มาท่าหมอบขี่ ก็ต้องปรับตัวกันนิดนึง ก้มแต่ไม่มาก ยังถือว่าสบายๆ อยู่นะ ความสูงของเบาะก็ต่ำกว่าด้วยที่ 790 มม. น้ำหนักที่ 198 กิโลกรัมก็น้อยกว่า จะเลื้อยได้พลิ้วกว่าว่างั้นเถอะ!!

ท่าการขี่ที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย เชื่อไหมว่าให้ฟีลลิ่งต่างกันเลย บนเขานางหงส์ที่มีโค้งแคบหลายโค้งต่อเนื่องกัน การขี่ในความเร็วระดับหนึ่งแล้วเลี้ยวแบบ Lean with หรือเหมือนที่ขี่ interceptor กลายเป็นไม่ค่อยแจ่ม ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่มันเหมือนยังขาดๆ สุดท้ายต้องลองห้อยก้นโหนไหล่เป็นท่า Hang on แบบเล็กๆ  กลายเป็นว่าดีกว่าสนุกเลย เต็มอารมณ์เรซซิ่ง

ทางตรงผมแช่ที่ความเร็วสูงสุด 170 นิดๆ อยู่หลายสิบกิโลเมตร ด้วยทรงรถผมต้องขอลืมคำว่า not overtake me ของ “อดาส” ผู้เป็นมาร์แชลไป ผมเสียบแซงทั้ง มร.มาร์ค เวลส์ และ อดาส มาร์แชลมือ 1จากอินเดียขึ้นไปหาความเร็วสูงสุด กับการกำคันเร่งสาดโค้งไฮสปีดทั้งซ้ายขวา ด้วยท่านั่งของ Continental GT ที่ให้หมอบได้ดีกว่า Interceptor หลบลมได้ดีกว่าและคุมแฮนด์ได้ดีกว่าในความเร็วสูง

แต่ด้วยช่วงล่างที่น่าประทับใจก็แทบไม่ต้องเสียแรงควบคุมแฮนด์ให้มากมายแต่อย่างใด นิ่ง หนึบ เข้าโค้งไฮสปีดที่ 170 กม./ชม. โดยที่ผมสามารถปล่อยมือซ้ายมาแตะ Apex ของโค้งได้เลยล่ะ มร.มาร์ค เวลส์ ที่ขี่ตามมาก็คงปลื้มในเพอร์ฟอร์แมนซ์ของรถที่แกออกแบบมาไม่น้อย ยิ้มไม่หุบกันเลย อิอิ

“อดาส” มาแชลมือ 1 จากอินเดีย เคยร่วมทริปกันตั้งแต่เมื่อครั้งไปที่ เลห์-ลาดัก ประเทศอินเดีย
ฮั่นแน่!! ชอบล่ะสิ

ถ้าเทียบกับ Royal Enfield ที่ผมเคยสัมผัส ต้องบอกว่าเป็นหนังคนละม้วนกันเลย ทุกอย่างมันดีกว่าเดิมมากจริงๆ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ท่านั่ง ความสะท้านที่ส่งมาถึงแฮนด์จากที่เคยมี ก็แทบจะๆ ไม่มี เป็นความประทับในหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับทั้ง Interceptor 650 และ Continental GT650 ราคาก็ด้วย

Simple is Best

แต่โดยส่วนตัวผมชอบ Interceptor มากกว่าด้วยสไตล์ ท่าขี่ และอรรถประโยชน์มากกว่าด้วย อ่อ การเลี้ยวก็ทำได้ง่ายมาก ด้วยเพราะยางหลังขนาด 130 ก็มีส่วนทำให้เลี้ยวได้คล่องตัวมาก และถึงแม้ว่าจะมีกำลังเครื่องยนต์ดี แรงบิดในรอบต่ำดี ขี่เกียร์สูงในรอบต่ำ แล้วจะแซงหลายจังหวะไม่ต้องเชนเกียร์บิดลากขึ้นไปได้เลย ขี่ไม่เหนื่อย ขี่ง่าย ง่ายในการดูแล ง่านต่อการเซอร์วิส ราคาก็เบา รวมแล้วคือความง่ายที่คงเป็นคอนเซ็ปต์ของแบรนด์นี้ไปซะแล้ว

  • Royal Enfield Interceptor INT 650 ราคา 213,000 – 218,000 บาท
  • Royal Enfield Continental GT650 ราคา 221,000 – 226,000 บาท

สรุปว่า ดีจนบางทีลืมไปเลยว่ากำลังขี่ Royal Enfield อยู่ หล่อ สมู้ท แต่ดุได้ แต่ต้องบอกก่อนว่าโมเดลที่ใช้เครื่องยนต์สูบเดียวใช่ว่าไม่ดี แค่มีบุคลิกที่ชัดในตัวเอง และนั่นคือ Signature ของแบรนด์นี้….. Twin 650 ทั้ง 2 รุ่น คือรถอังกฤษที่แท้ทรูแม้จะเป็นของอินเดียแล้วก็ตาม นะจ๊ะนายจ๋า

Special Thank : Royal Enfield Thailand , ภาพถ่ายและฟุต VDO จากทีม Over Ride

Royal Enfield Concept KX คลิกตรงนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่