BMW R1300GS มาใหม่กับโจทย์ที่ BMW Motorrad ตั้วไว้ว่าต้องพัฒนาดีกว่า R1250GS ที่ดีมากอยู่แล้ว การต่อยอดสถานะ King Of Adventure Touring ได้สำเร็จ สเปค มีกี่รุ่นราคา มาอัพเดทกันเลย
เครื่องยนต์ Boxer พิกัดใหม่
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัด DOHC 4 วาล์วต่อสูบใช้โซ่ขับเฟืองราวลิ้น มี BMW ShiftCam มีปริมาตรกระบอกสูบ 1,300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 107 กิโลวัตต์(145 แรงม้า) ที่ 7,750 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที (R1250GS มี 134 แรงม้าและมีแรงบิด 143 นิวตันเมตร) อัตราส่วนกำลังอัด 13.3:1 เกียร์ 6 สปีด
เครื่องยนต์ลูกใหม่เล็กลงทั้งด้านหน้าและด้านข้างทำให้ใส่สวิงอาร์มที่ยาวขึ้นได้และส่งผลให้ได้การยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น เพลาขับก็ใหญ่และยาวขึ้น เกียร์บ๊อกซ์รุ่นใหม่ย้ายไปอยู่ด้านล่าง โดยรวมน้ำหนักเครื่องยนต์ทั้งลูกรวมระบบขับเคลื่อนเบาลงกว่าเดิมถึง 6.5 กิโลกรัม
เฟรมหลักหรือเมนเฟรมที่ใช้แบบ Tubular Steel Frame ท่อเหล็กกลมมายาวนานก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบ Sheet Steel Frame เป็นเหล็กแผ่นแตกต่างกันทางเทคนิคและรูปทรง ซับเฟรมมาใช้เป็น Aluminium Die-Cast แทนที่แบบท่อเหล็กในรุ่นเดิมเช่นกัน และตัวซับเฟรมใหม่ที่ว่านี่ยังแยกเป็นชิ้นซ้ายขวาได้ ถังนำ้มันดีไซน์ใหม่มีความจุ 19 ลิตร และน้ำหนักตัวรวมของเหลวและน้ำมันเต็มถังแล้วอยู่ที่ 237 กิโลกรัม เบากว่า 1250 ถึง 12 กิโลกรัม
ช่วงล่าง EVO ใหม่ทั้งหน้าหลัง
ระบบกันสะเทือนหน้า EVO Telelever แกนหลักขึ้นรูปจากแผ่นเหล็กกล้า ปรับด้านบนของช็อคบริเวณ Tripple Clamp หรือแผงคอจะมีการใช้แผ่นเหล็กรูปทรงสามเหลี่ยมช่วยซับแรงแทนแบบเดิม และหลังจากผมขี่แล้วเวลารถเจอหลุมเจอหินช่วงล่างด้านหน้าใหม่นี่ส่งความรู้สึกถึงเรามากกว่าเดิมนะ ระบบกันสะเทือนหลัง EVO Paralever ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่เช่นกันรวมถึงฐานล้อที่ยาวขึ้น สวิงอาร์มเพลาขับก็ยาวขึ้นให้ความมั่นคงกว่าเดิมเมื่อใช้ความเร็วสูง
DSA พร้อมฟังก์ชั่นยุบยืดตัวอัตโนมัติ
ช่วงล่างเป็นช่วงล่างไฟฟ้า DSA (Dynamic Suspension Adjustment) ที่เหนือกว่าเดิม นอกจากจะปรับตามโหมดขี่แล้วผู้ขี่สามารถเข้าไปปรับย่อยเองในแต่ละโหมดขี่ได้ และมีมากกว่านั้นในเรื่องฟังก์ชั่น Adaptive Vehicle Height Control System ช่วยปรับความสูงต่ำของมอเตอร์ไซค์อย่างอัตโนมัติ
คือความสูงเบาะนั่งสแตนดาร์ดอยู่ที่ 850 มม. ระบบจะปรับให้ต่ำลงอัตโนมัติ 30 มม. เหลือ 820 มม. คือเตี้ยลงเมื่อความเร็วต่ำลงน้อยกว่า 25 กม./ชม. และจอดสนิท ช่วยให้คนขี่วางเท้าลงบนพื้นได้มั่นใจขึ้น ระบบจะยกตัวขึ้นเองเมื่อขี่ออกไปถึงความเร็ว 50 กม./ชม แต่ถ้าไม่ชอบสามารถปิดระบบให้เบาะสูงที่ 850 มม.ตลอดได้ หรือปรับออโต้ให้ระบบทำงานได้ มีบอกสถานะการทำงานบนเรือนไมล์
และยังมีฟังก์ชั่นช่วยยกตัวตอนใช้ขาตั้งคู่ โดยเมื่อเราเอาขาตั้งคู่ลงแตะพื้นช็อคอัพหลังจะยกตัวก่อนและช็อคอัพหน้าจะยกตัวตามรถจะสูงขึ้นช่วยให้เราออกแรงยกรถน้อยลง มีประโยชน์มากโดยเฉพาะตอนที่ต้องขึ้นขาตั้งคู่ตอนใส่ปี๊บที่บรรทุกของเต็มทั้ง 3 ใบ ข้อแนะนำตอนใช้ช็อคอัพไฟฟ้าช่วยยกรถควรติดเครื่องยนต์ไว้ด้วยเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่หมด
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยขี่มาเต็ม
เร่ิมจาก 7 โหมดขับขี่คือ Road, Rain, Eco, Dynamic, Enduro และ Dynamic Pro กับ Enduro Pro ซึ่งในโหมด Dynamic Pro ระบบ ABS ที่ล้อหลังจะไม่ทำงาน เหมือนกับในโหมด Enduro Pro เป็นค่าที่ตั้งมาเป็นสแตนดาร์ด แต่ผู้ใช้สามารถเข้าไปเปิดเองได้ในระบบ
มีระบบ Dynamic Traction Control (DTC) , ระบบ Hill Start Control (HSC) , Shift Asisstant Pro , มีระบบ Active Cruise Control (ACC) ระบบควบคุมความเร็วคงที่มาพร้อมระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ตั้งค่าความเร็วและระยะห่างจากรถคันหน้าได้มีบอกที่เรือนไมล์
ระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ Lane Change Warning (SWW) มี Radar Sensor ด้านท้ายรถจับวัตถุด้านหลังและด้านข้างเมื่อจะแซงหรือมีรถแซงจะมีไฟขึ้นเตือนที่กระจกมองข้างเหมือนระบบ Blind Spot ในรถยนต์ มีระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning (FCW) ซึ่งระบบ FCW กับ ACC จะทำงานร่วมกับ Full Integral ABS Pro
ใน 1300 นี้จะเป็น Full Integral ABS Pro คือใช้เบรกหน้าจะลิงค์เบรกหลัง ใช้เบรกหลังก็จะลิงค์เบรกหน้า ระบบนี้ในรุ่นก่อนหน้าไม่มี แต่มีใน R1250RT ใน R18 Trancontinental มาก่อนประมาณนั้น ระบบทำงานร่วมกับระบบ ACC และ FCW จะช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อรถคันหน้าลดความเร็วกระทันหัน เบรกจะช่วยเบรกเป็นจังหวะ จะไม่เบรกจนหยุดหรือเบรกจนหัวทิ่มนะถ้าแบบนี้คือล้มอ่ะ แต่จะช่วยเบรกเป็นจังหวะเพื่อให้คนขี่ได้ทันระวังและกลับมาบังคับรถเองอีกครั้ง
Equipment ทันสมัยรอบคัน
เรือนไมล์ TFT สีขนาด 6.5 เชื่อมต่อ Bluetooth เรือนไมล์นี่ผมว่าจะเป็นช้ินนึงที่ไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมนะ ไฟหน้า Headlight Pro Matrix LED ทรง X ที่ถูกค่อนแคะว่าเป็นไฟห้อยเพดานแต่ผมว่าเท่ดีอันนี้ก็นานาจิตตัง มี Adaptive Cornering Headlights , Daytime Running Lights ไฟเลี้ยว LED ที่ด้านหน้าจะบิวด์อินรวมอยู่กับการ์ดแฮนด์ Wind Screen หรือชิลด์บังลมหน้าปรับไฟฟ้าครั้งแรกใน GS ปรับขึ้นลงได้ง่ายๆ บนปุ่มที่สวิต์แฮนด์ด้านซ้าน
มี Heated Grip ส่วน Heated Seat สำหรับรุ่นที่ขายในไทย(รุ่นท็อปแล้ว)แต่ต้องรออัพเดท Sofeware และเปลี่ยนเบาะคนซ้อนใหม่ มีช่องชาร์จ USB อยู่ในช่องเก็บของ(มือถือ)บนถังน้ำมัน ที่แร็คหลังมีช่องสำหรับเชื่อมต่อกับปี๊บจาก BMW ครบ 3 ใบสามารถใช้งาน Central Lock ได้(เหมือนใน RT หรือ R18Tran) มีไฟ LED พร้อมช่องชาร์จ USB ให้ในปี๊บครบ มี RCD Tyre Pressure Monitoring System ตรวจวัดลมยาง
ระบบ Keyless Ride ตัวกุญแจมีดีไซน์ใหม่และมี Safe Mode ประหยัดแบตเตอรี่ ถ้าเก็บไว้นานแล้วจะนำมาใช้ให้เขย่ากุญแจเล็กน้อยระบบก็จะกลับมาใช้งานได้อัตโนมัติ แบตเตอรี่ติดรถเป็น Lithium ion ข้อมูลทางเทคนิคอื่นๆ ผมจะรวมลงให้ไว้ดูกันอีกที
ลองขี่หน่อย
อย่างแรกเลยคือความกระทัดรัด เล็กกว่า 1250GS เดิมชัดเจน ถังน้ำมันตรงตรงเป้าคนขี่มียางหุ้มและลาดเอียงมากกว่าเดิมช่วยซับพอร์ทเป้าคนขี่ได้ดี ความสูงเบาะนั่งที่มีระบบ ระบบ Adaptive Vehicle Height Control System ช่วยยุบตัวกับผมที่สูง 172 ซม.วาง 2 เท้าเต็มพื้นสบายๆ และเมื่อขี่เร็ว 50 กม./ชม. ช่วงล่างจะยกตัวขึ้นอัตโนมัติ และจะยุบตัวเองอีกครั้งเมื่อความเร็วต่ำกว่า 25 กม./ชม. จนจอดรถ การยืดยุบนุ่มนวลจนไม่รู้สึกแต่จะมีบอกบนเรือนไมล์
การควบคุมง่ายพริ้วดีกว่าเดิม การบังคับเลี้ยวให้ความรู้สึกไวและคมกว่าเดิม รู้สึกถึงอุปสรรคที่ล้อหน้ากำลังวิ่งผ่านอยู่ชัดกว่าเดิม สำหรับผมมองว่ามันเหมาะกับทางดำมากเลย การยืนขี่สำหรับผมก็ยังคงถนัดดีอยู่ แต่ใครชอบยืนขี่หรือยืนเข้าทาง Off Road บ่อยๆ ต้องลองปรับแฮนด์ให้เข้ากับสรีระก็จะดียิ่งขึ้น
ย่านกำลังแรงบิดที่ตอบสนองแตกต่างจากตัว 1250 ตั้งแต่ราว 2,500 รอบ/นาที รถพุ่งกว่าเดิมชัดเจนและทยานไปอย่างต่อเนื่อง ถ้ารีดกันบนทางดำคือฉีกหนี 1250 ตั้งแต่ต้นอ่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเข้าทาง Off Road ก็ย่อมแตกต่างในเรื่องพละกำลังชัดเจนเช่นกันแต่ยังคงความสมู้ท
ระบบต่างๆ ทำงานตอบสนองเป็นแพคเกจไวและเนียน บางช่วงของเส้นทางเป็นทรายหนาดักในมุมเลี้ยวที่ล้อหน้าต้องจุ่มลงไปก่อน ระบบก็ช่วยทรงตัวจัดสรรย่านกำลังให้เลี้ยวผ่านมาได้แบบนิ่มๆ ยางเดิมติดรถจะเป็นยางหน้าขนาด 120/70R19 ยางหลังขนาด 170/60R17 ครอบคลุมทั้งเดินทางและ Off Road เบาๆ
การทดลองขี่นี้ต้องบอกว่าเน้นทางดำเป็นส่วนใหญ่ และ BMW R1300GS ก็ตอบโจทย์ทางดำดีกว่าเดิมมาก ส่วนในทาง Off Road ก็ไม่ได้ถึงกับ Hard Enduro หรือลุยอะไรให้มันยากเป็นเส้นทางแนวท่องเที่ยวกับระยะที่ไม่ไกลนัก ถ้าจะลุยกว่านี้รถไปได้อยู่แล้วเปลี่ยนยางหน่อย แต่คนขี่ก็ขึ้นอยู่กับทักษะและความฟิตของแต่ละคนแล้วล่ะนะ และถ้าผมมีโอกาสได้เอาไปขี่ทริปยาวๆ จะมาเล่าสู่กันฟังอีกที ส่วนคลิปทดลองขี่ 1300 นี่ดูได้ที่ยูทูป MotoMotion เลยครับ
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS สี Triple Black ราคา 1,125,000 บาท
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS สี GS Trophy ราคา 1,125,000 บาท
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS สี Option 719 ราคา 1,205,000 บาท
Special Thank : BMW Motorrad Thailand , Panda Rider สำหรับหมวกกันน็อค Caberg และชุดขี่ REV’IT
คลิปรีวิว 2023 New BMW S1000RR
บทความรีวิว New BMW1000RR
คลิปรีวิว BMW R1250RT Option 719
รีวิว R1250RT
คลิปรีวิว R18 Transcontinental
บทความรีวิว R18 Transcontinental
บทความรีวิว BMW R18 First Edition
คลิป รีวิว BMW R18
คลิปรีวิว BMW F850GS
คลิปทดสอบ BMW R1250GSA คลิก
คลิป เรียน California Superbike School คลิก
บทความเรียน California Superbike ที่สนามช้างบนรถ S1000RR
ทดสอบ ขี่ BMW C400X ออกทริป คลิก
ทดสอบ 2019 BMW R1250GSA คลิก