BMW F900R ที่ BMW Motorrad บอกว่านี่คือรถโรดสเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ ประกอบไทยกับค่าตัวครึ่งล้าน
เริ่มที่เครื่องยนต์ Parallel Twin
เครื่องยนต์แบบ Parallel Twin 2 สูบแถวเรียง พื้นฐานจากรุ่น F850GS เดิมแต่ ขยายปริมาตรกระบอกสูบเป็น 895 ซีซี (จากเดิม 853 ซีซี) ลูกสูบใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Forged จากเดิมเป็นแบบ Die casting
เครื่องยนต์ใหม่นี้ให้กำลัง 99 แรงม้าที่ 8,500 รอบ/นาที และแรงบิด 92 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ/นาที มีองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศา พร้อมระบบคลัทช์แบบ Anti-hopping (คล้ายกับ Slipper Clutch)
3 โหมดขับขี่
โหมดการขับขี่มีให้ 3 โหมดหลักคือ Rain, Road และ Dynamic และยังมี Riding Modes Pro อีกโหมกที่จะตัดระบบช่วยการขับขี่ทุกอย่าง การเปิดใช้โหมดนี้ต้องเสียบปลั๊กพิเศษเท่านั้น
ในส่วนของความปลอดภัยมาเต็ม พร้อมระบบ ASC (Automatic Stability Control) ระบบช่วยในการทรงตัวรถโดยการอ่านค่าการเบรกการยึดเกาะของล้อและอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามต้องการ ทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ อย่างสัมพันธ์กัน
ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือช่วยเหลือขับขี่
ระบบ MSR ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง MSR ย่อมาจากภาษาเยอร์มันที่ว่า MotorSchleppmomentRegelung” ผมก็อ่านไม่ออกอ่ะนะ เป็นระบบคลัทช์จะทำงานร่วมกับ Riding Mode
คืรูอคลัทช์จะทำงานกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ แรงกระทำหรือการเปลี่ยนแปลงกำลังของเอนจิ้นเบรคจะคำนวนตามสภาพการยึดเกาะของถนน แตกต่างกันในแต่ละโหมดการขับขี่ ต่างจาก Slipper Clutch ที่ทำงานในอัตราเดิมอย่างชัดเจน ล้ำสุดๆ หรือเหมือนกับระบบ Engine Brake Control นั่นเอง
ระบบ ABS Pro ที่ BMW Motorrad นำมาติดตั้งในมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางเป็นครั้งแรก ระบบจะช่วยเมื่อใช้เบรกหน้าแบบฉับพลันในจังหวะที่รถเอียงอยู่ในการเลี้ยวโค้งโดยไม่เสียเสถียรภาพการทรงตัว
ระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ที่ช่วยตัดกำลังขับและแรงดึงแปรผันจากเครื่องยนต์ในจังหวะที่ผู้ขับขี่ใช้เบรกแบบฉับพลัน จึงชะลอความเร็วหรือหยุดรถได้เต็มประสิทธิภาพในเวลาน้อยที่สุด
ใครเคยอบรมเทคนิคการเบรกของ BMW Motorrad ที่ต้องบีบคลัทช์เพื่อตัดแรงกระทำของเครื่องยนต์ออก ให้เบรกได้ทำงานอย่างเต็มระบบ ระบบ DBC ก็คล้ายๆ แบบนั้นล่ะครับ แต่จะทำงานโดยอัตโนมัติ สมู้ท ไร้รอยต่อ
ระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ป้องกันการลื่นไถลของล้อหลังและการยกตัวของล้อหน้าในจังหวะเปิดคันเร่งแบบฉับพลัน ป้องกันการยกตัวของล้อหลังในทุกสภาวะการขับขี่ ซึ่งจะเปลี่ยนค่าการทำงานตามโหมดการขับขี่และองศาการเอียงของรถใน Riding Modes Pro ที่ผู้ขับขี่ใช้ในขณะนั้น
ระบบ Headlight Pro ไฟหน้า LED พร้อมระบบ Adaptive Cornering Light ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง ช่วยเปิดมุมมืดในโค้ง ทำงานด้วย 3 เงื่อนไขคือ องศาการเอียงรถที่ 10 องศา มีความเร็วเกินกว่า 10 กม./ชม. และอยู่ในที่มืด
ระบบ Gearshift Assist Pro ระบบเพิ่มหรือลดเกียร์โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ คล้าย Quick Shifter แต่เหนือกว่าตรงที่ระบบของทาง BMW Motorrad จะทำงานได้ฉับไวกว่า มีการชดเชยรอบเครื่องให้สัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดเกียร์รวมถึงความสัมพันธ์ของระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่นเดียวกับที่อยู่ใน S1000RR และ R1250GS
Dynamic ESA ช่วงล่างไฟฟ้า
ระบบ Dynamic ESA หรือ Dynamic Electronic Suspension Adjustment ช่วงล่างไฟฟ้า ตรวจจับน้ำหนักบรรทุกในขณะขับขี่เพื่อปรับระดับของระบบช่วงล่างให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์
โดยจะมีเซ็นเซอร์ที่โช้คหลังและเซ็นเซอร์จับความเอียงของรถ จะสั่งการทำงานไปโช้คหลังโดยมีกระบอกยาวๆ สีทอง เหน็บอยู่ที่ซับเฟรมด้านซ้ายของตัวรถทำหน้าที่เก็บและควบคุมแรงดันน้ำมันที่มีผลต่อ Compression และ Rebound เพื่อให้สัมพันธ์กับโหมดขับขี่ที่เราเลือกใช้
หน้าจอ TFT 6.5 นิ้ว พร้อมเชื่อมต่อ Smart Phone
หน้าจอสี TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ฟังก์ชั่นเพียบ แต่ใช้งานง่ายมาก หน้าจอเลือกการแสดงผลได้ 2 รูปแบบ โดยแบบสปอร์ต จะมีบอกองศาเอียงของรถทั้งซ้ายขวาแบบ Real time ด้านซ้ายมีบอกอัตราการใช้ DTC หรือ Traction Control ด้านขวามีบอกการใช้ DBC หรืออัตรากำลังเบรก และมีบอก Lap Timer ด้วย
หน้าจอจะเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น BMW Motorrad Connected บนสมาร์ทโฟน โดยตัวแอพพลิเคชั่นจะบอกการทำงานหรือฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถอย่างครบครัน เก็บข้อมูลการขี่ให้เราได้ สามารถรับ-วางสายหรือเลือกเพลงในสมาร์ทโฟนได้ที่สวิทซ์แฮนด์ด้านซ้าย
Keyless Ride ครั้งแรกในรถขนาดกลาง ไม่ต้องไขฝาถัง
ระบบกุญแจ Keyless Ride ของ BMW Motorrad จะมีความเหนือระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยที่สามารถเปิดฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงได้โดยไม่ต้องใช้ลูกกุญแจมาไขบิดที่ฝาถังน้ำมันอีกต่อไป ซึ่งตอนที่ทดสอบและมีเข้าไปเติมน้ำมัน ผมก็เลยมีโอกาสลองใช้ สะดวกสบายจริงๆ
ลองขี่ F900R
เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้ขี่ F900R ครั้งแรกที่ขี่ก็เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2020 หรือประมาณ 1 ปีมาแล้ว เป็นการขี่ในรูปแบบทริปท่องเที่ยว แต่ครั้งนี้ผมเอามาใช้งานในเมืองกันบ้าง เพราะ F900R ขี่ใช้งาน ไป-กลับบ้านที่ทำงาน ได้ทุกวันจริงๆ
F900R โฉมล่าสุดนี่ คือดีไซน์ถอดแบบมาจาก R1200R เลย ส่วนตัวผมว่าหล่อลงตัวกว่า F ที่ผ่านๆ มา เบาะนั่งสูง 815 มม. แต่เบาะปรับระดับสูงหรือต่ำวกว่านี้ได้นะครับ และด้วยท่านั่งกึ่งๆ สปอร์ตก้มขี่เล็กน้อย ถังน้ำมันเชื้อเพลิงมีความจุ 13 ลิตร หล่อ กระชับ ถูกใจ
อย่างแรกเลย รถให้ความคล่องตัวที่ดีเลยในการใช้งานทั่วไป มุดง่าย รถติดก็มีติดขัดบ้างตามประสารถใหญ่และแฮนด์กว้าง เป็นเรื่องปกติ ช่วงรถไหลๆ นี่มุดได้พริ้วเลย กำลังเครื่อง มาให้ใช้แบบเร้าๆ เลย แซงผ่านรถช้าสบายๆ
โหมดขับขี่เลือกใช้ได้ไม่ต้องจอดรถ ระบบช่วยขับขี่ที่ผมบอกไปในตอนต้นถูกเซ็ตมาให้ใช้พร้อมกันหรือร่วมกันในระดับที่ต่างกันในแต่ละโหมดเป็นแพ็คเกจแล้ว เราไม่ต้องไปยุ่งอะไรเลย
โหมด Rian ถือว่าเป็นโหมดที่คุ้มค่าที่สุด เพราะโหมดนี้จะใช้ระบบช่วยขับขี่ทุกระบได้เกือบเต็มที่ เปรียบเหมือนโหด Auto ในกล้องถ่ายรูปครับ ส่วนในโหมด Dynamic เครื่องยนต์จะให้การตอบสนองคันเร่งที่ดุดันเข้ากับสไตล์รถ ขี่สนุกคอนโทรลง่าย แต่แอบแรง และระบบช่วยขับขี่จะลดทอนระดับการช่วยลงไป ต้องระวังไว้บ้าง
ช่วงล่างไฟฟ้าทำงานดีไร้รอยต่อ เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไป เจอถนนซ่อมสร้างถนนไม่ดีก็ซัพพอร์ทแรงกระทำให้รถไม่เสียอาการ อยู่ในการควบคุม
BMW F900R ราคา 495,000 บาท สำหรับสีดำ Black Storm Metalli ราคา 520,000 บาท สำหรับสีขาว/แดง Hockenheim Silver Metallic/Racing Red(Sport Style) และ 525,000 บาท สำหรับสีน้ำเงิน San Marino Blue Metallic
ขอบคุณ : BMW Motorrad Thailand
หมวกกันน็อค Caberg รุ่น Flyon จาก Panda Rider
คลิป รีวิว F900R คลิก
คลิป ริวิว F750GS
บทความรีวิว F750GS
บทความรีวิว BMW R18 First Edition
คลิป รีวิว BMW R18
คลิป เรียน California Superbike School คลิก
บทความเรียน California Superbike ที่สนามช้างบนรถ S1000RR
ทดสอบ ขี่ BMW C400X ออกทริป คลิก
ทดสอบ 2019 BMW R1250GSA คลิก
ทดสอบ 2018 BMW F850GS / F750GS คลิก
คลิปทดสอบ BMW R1250GSA คลิก
คลิปทดสอบ BMW C400X คลิก