Ducati Scrambler มีประวัติยาวนาน เริ่มตั้งแต่ปี 1962 และก็ยุติการผลิตไป จนในปี 2014 Scrambler ของ Ducati ก็กลับมาอีกครั้ง ในการเปิดตัวที่งาน Intermod และออกวางขายอย่างเป็นทางการในปี 2015 ในพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 803 ซีซี และในปี 2019 Ducati Scrambler Icon, Desert Sled, Full Throttle และ Café Racer ก็ได้ทำการอัพเทคโนโลยีพร้อมเปิดโลกความสนุกแห่งการขับขี่อีกครั้ง!!
The Land of Joy
Scrambler นอกจากจะเป็นรุ่นรถแล้ว ดูคาติได้วางให้เป็นเหมือน Sub Brand อีกด้วย คือเป็นอีกยี่ห้อหนึ่งไปเลย พร้อมสโลแกน “The Land of Joy” มี Product ตอบโจทย์กลุ่มไลฟ์สไตล์แปะแบรนด์ Scrambler ออกมาจำหน่ายมากมายหลายคอลเล็กชั่น เช่น เสื้อยืด กระเป๋า รองเท้า หมวกกันน็อค ไปจนถึง แก้วน้ำ กระบอกน้ำ นาฬิกา ก็มี
ที่ใหญ่เบิ้มเลยก็คงเป็น Scrambler Food Factory ร้านอาหาร เครื่องดื่ม(เบียร์) เก๋ๆ ตั้งอยู่ที่เมืองโบโลญญ่า ประเทศอิตาลี เมืองบ้านเกิดของดูคาติ(โรงงานและพิพิธภัณฑ์ Ducati ตั้งอยู่ที่นี่) ซึ่งผมเองมีโอกาสได้ไปทดสอบ Ducati Scramble Café Racer ที่นั่นและมีโอกาสได้ไป Food Factory ที่ว่ามาด้วยแล้ว บอกเลยว่าแจ่ม (มีโอกาสไว้จะมาเล่าให้อ่านกัน)
วนกลับมาที่รถกันดีกว่า สำหรับในปัจจุบัน(2019) Ducati Scrambler มีด้วยกัน 3 ขนาด รวม 8 รุ่น คือ
- ขนาด 1100 ซีซี มี 3 รุ่น คือ 1100, 1100 Sport และ 1100 Special
- ขนาด 803 ซีซี มี 4 รุ่น คือ Icon , Desert Sled, Full Throttle และ Café Racer
- ขนาด 399 ซีซี มี 1 รุ่น คือ Sixty2
Ducati Scrambler Icon กับการเปิดตัวและทดสอบครั้งแรกที่ประเทศไทย
การเปิดตัว Ducati Scrambler ครั้งแรกในประเทศไทยต้องย้อนไปเมื่อประมาณปี 2557(2014) ที่ Ducati Thailand จัดกิจกรรมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กลางลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล ซึ่งในการเปิดตัวครั้งนั้น Ducati Scrambler มีเปิดตัวมาทั้งหมด 4 รุ่นย่อยคือ Icon, Classic, Urban Enduro และ Full Throttle
ต่อจากนั้นไม่นานก็เปิดโรงงานผลิตประกอบที่จังหวัดระยอง และรถโมเดลแรกที่ผมได้เห็นในไลน์ผลิตภายในโรงงานนี้ก็คือ Scrambler Icon นี่เอง จริงๆ แล้ว ผมอาจจำสับระหว่างการเปิดตัว Scrambler หรือ เปิดโรงงาน Ducati ก่อนอ่ะนะ แต่อยู่ในปีเดียวกันนี่แหล่ะ
จนต่อมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2558(2015) ก็มีกิจจกรม Asia Press Test Ducati Scrambler Icon ครั้งแรกในประเทศไทย ที่ จ.เพชรบุรี ผมก็ได้ไปแจมกับเขาด้วย จำได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มี Gimmick ดีมาก คืองานมีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับตัวผลิตภัณฑ์ในทุกๆ จุด ไม่เว้นแม้แต่กระดาษเช็ดปากยังเป็นอะไรที่เกี่ยวกับกิจกรรมของ Scramble ด้วยนะ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าเราได้หลุดเข้ามาอยู่ใน Land of Joy อย่างแท้จริง และธีมการจัดงานแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ Ducati ถนัด!! เพียงแต่งาน Scrambler จะชัดมากกว่างานอื่นๆ
ซึ่ง Ducati Scrambler ในตอนเปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 2014 – 2015 นั้น นอกจากทั้ง 4 รุ่นที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วคือ Icon, Classic, Urban Enduro และ Full Throttle ยังมีรุ่น Café Race , Flat Track Pro และ Sixty 2 (400 ซีซี) ที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
2019 Ducati Scrambler Asia Press Test
กลับมาปี 2019 กับ Ducati Scrambler MY19 ที่ได้อัพเกรดเพิ่มเทคโนโลยีใหม่อีกครั้ง เปิดตัวมาพร้อมกิจกรรม 2019 Ducati Scrambler Asia Press Test ในครั้งนี้ เป็นการขี่ทดสอบในระดับเอเชีย มีสื่อมวลชนและนักทดสอบในเอเชียมาร่วมงาน ที่ จ.พังงา ประเทศไทย ซึ่งการทดสอบจะเป็นการทดสอบ Ducati Scrambler 2 รุ่น คือ Icon และ Desert Sled บนเส้นทาง 2 รูปแบบที่เข้ากับสไตล์ของรถ โดยจะมีการแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป สลับกันขี่รุ่นละครึ่งวัน ต่างเส้นทางกันอย่างที่บอก และผมก็ได้เริ่มที่ Scrambler Icon
2019 Ducati Scramble Icon
ผมให้ Icon เป็นรุ่นตั้งต้นของทุกรุ่นก็ว่าได้ ในความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เข้าได้กับทุกสไตล์ แถมสมรรถนะก็ครบเครื่องแบบ All Around ซะด้วย จะขี่ใช้งานประจำวันทุกๆ วันก็คล่องตัว จะใช้ออกทริปก็พร้อม จะขี่เล่นวันหยุดก็หล่อมีสไตล์ จะลุยทางขรุขระทางชนบทเพื่อเข้าถึงจุดท่องเที่ยวได้มากกว่า ก็ทำได้
Icon 2019 มีอะไรใหม่
ดูเผินๆ แล้วเราอาจจะมองความต่างของโมเดล MY14 โฉมแรกกับ MY19 โฉมล่าสุดยากหน่อย แต่จริงๆ แล้วมีการปรับเปลี่ยนพอสมควรและมีผลต่อการขับขี่ด้วยนะ การเปลี่ยนหรืออัพเกรดก็จะมีดังนี้
- คลัทช์น้ำมัน หรือ ไฮดรอลิค คลัทช์ ไม่เป็นคลัทช์สายแล้ว แถมมือคลัทช์ยังปรับระดับได้ด้วย
- เรือนไมล์ใหม่ มีบอกตำแหน่งเกียร์และระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง
- ไฟเลี้ยว LED ใหม่ ไฟหน้า LED ใหม่มาพร้อม DRL (Daytime Running Lights)
- มีระบบ Cornering ABS พร้อมไฟแจ้งสถานะ
- ล้อแม็คดีไซน์ใหม่ มีการ CNC ปัดเงาเป็นสีเงินตัดสลับกับสีดำ
- ครอบถังน้ำมันเชื้อเพลิงด้านข้างดีไซน์ใหม่
- เครื่องยนต์เสื้อสูบฝาสูบเป็นสีดำ
- ครอบปลายท่อไอเสียดีไซน์ใหม่(ต่างจาก Scrambler รุ่นอื่นที่เป็น 2 ปลาย)
- เบาะนั่งใหม่ทั้งดีไซน์และโฟมข้างใน
- มีการปรับเซ็ตโช้คอัพใหม่
เครื่องยนต์ Desmodromic 803 ซีซี
เครื่องยนต์ยังคงพื้นฐานเดียวกันทั้งหมด แต่ปรับ Mapping ใหม่ เป็นเครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 4 แบบ L-Twin Desmodromic 2วาล์ว/สูบ ขนาด 803 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ มี Oil Cooler ช่วย กระบอกสูบ x ช่วงชัก = 88 x 66 มม. มีอัตราส่วนกำลังอัดที่ 11.0 : 1 มีแรงม้าสุด 73 ตัวที่ 8,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 67 นิวตันเมตรที่ 5,750 รอบ/นาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด พร้อมชุดลิ้นปีกผีเสื้อขนาด 50 มม. เกียร์ 6 สปีด อัตราทดขั้นสุดท้ายสเตอร์หน้าขนาด 15 ฟัน สเตอร์หลัง 46 ฟัน
เฟรมและช่วงล่าง
Scrambler จะใช้เฟรมแบบท่อเหล็กคู่ Tubular steel Trellis frame แบบเดียวกันทุกรุ่น แต่ช่วงล่างจะต่างกัน!? ช่วงล่างของ Icon โช้คหน้าเป็น Upside down ของ Kayaba ขนาด 41 มม. มีระยะยุบ 150 มม. โช้คหลังเดี่ยว Kayaba ปรับพรีโหลดได้ มีระยะยุบ 150 มม. และล้อของแต่ละรุ่นก็ต่างกันด้วย Icon เป็นล้อแม็กแบบ 10 ก้าน ล้อหน้าขนาด 3.00 x 18 นิ้ว ล้อหลังขนาด 5.50 x 17 นิ้ว ยาง Pirelli MT60 หน้าขนาด 110/80R18 หลังขนาด 180/55RS17
Cornering ABS ออฟชั่นใหม่ ความปลอดภัยที่เหนือกว่า
ระบบ Cornering ABS เป็นออฟชั่นใหม่ที่ถูกติดตั้งใน Scramble ทุกรุ่น แบบเดียวกับในรถสปอร์ตเรือธงอย่าง Panigale V4 สามารถใช้เบรกในโค้งได้หนักจนระบบ ABS ทำงานและ ABS จะทำงานให้เหมาะสมในขณะรถเอียงได้อย่างเหลือเชื่อ ช่วยให้เบรกในขณะรถเอียงหรือกลางโค้งเพื่อหลบอุปสรรคหรือเปลี่ยนไลน์วิ่งได้อย่างปลอดภัย โดยรถไม่เสียอาการ คร่าวๆ ระบบก็จะทำงานประมาณนี้
และ Scrambler Icon จะมีเบรกหน้าเป็นดิสก์เดี่ยวขนาด 330 มม. หนีบด้วยคาลิปเปอร์ Brembo แบบเรเดียลเม้าท์ 4 ลูกสูบ ดิสก์หลังขนาด 245 มม. คาลิปเปอร์ Brembo 1 ลูกสูบ พร้อม Cornering ABS จาก Bosch ทั้งหน้าและหลัง ชื่อทางการก็คือ Dual-channel Bosch Cornering ABS
Test Ride Icon
ด้วยสไตล์รถที่มีแฮนด์สูง(สูงกว่ารถประเภทเน็กเก็ตแฮนด์บาร์) พักเท้าต่ำ ทำให้ท่านั่งสบาย เครื่องยนต์แบบ L-Twin ทำให้เฟรมตรงช่วงขาหนีบแคบพอสมควร นั่นหมายความว่าความสูงของเบาะที่ 798 มม. กับความสูง 172 ซม. ของผม ผมจึงสามารถเหยียบพื้นได้สบายๆ แต่เบาะ Icon ปรับได้นะปรับเป็น Low seat จะมีความสูง 778 มม. น้ำหนักรถรวมของเหลวแล้วที่ 189 กิโลกรัม ไม่มากกับรถขนาด 800 ซีซี
สัมผัสถัดมาคือคลัทช์ใหม่นิ่มนิ้วมืออยู่นะ ออกตัวได้!! การออกตัวแบบธรรมนุ่มนวลอยู่นะ รอบเครื่องพาออกตัวไปแบบสบายๆ คือจะเอากระโชกโฮกฮากก็อยู่ที่คันเร่งและการปล่อยคลัทช์ของเราแล้วล่ะ การขี่ทดสอบเป็นในรูปแบบขบวน แต่ความเร็วที่ใช้ถือกว่าหลากหลาย ด้วยเส้นทางของ จ.พังงา ที่สวยงามมาก มีทั้งทางตรงให้ได้ทดลองกำลังเครื่องยนต์ในปลายเกียร์แต่ละเกียร์ Scrambler Icon สามารถทำความเร็วได้ทันใจในทุกเกียร์ รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างฉับไวพร้อมช่วงล่างที่มั่นคง แม้นั่งขี่โต้ลมไปอย่างนั้นก็ตาม ความเร็ว 160-170 เห็นได้ง่ายๆ ยังไม่สุดกำลังเครื่องยนต์นะ
บนเส้นทางที่เป็นเลนสวนกัน และต้องรีบแซงรถยนต์เพราะเรามาเป็นขบวนเรียงหนึ่ง ต้องลากรอบแซงให้ผ่านทั้งขบวนในจังหวะเดียวก็ทำได้ตามที่ใจคิด แต่ในขณะที่ผิดจังหวะต้องยกคันเร่งต้องเบรกเพราะมีรถสวนมา เบรกก็สั่งได้ เบรกมีความสมูทและมั่นคง ผมกดเบรกหน้าหนักแต่ไม่ถึงกับระบบ ABS ทำงาน ก็สามารถคอนโทรลรถต่อได้ดีทีเดียว รถไม่เสียอาการจากการเบรกแรงๆ พร้อมกับโยกหลบเปลี่ยนเลนในเวลาเดียวกันได้สบายๆ หรือต้องเบรกและร่อนเปลี่ยนช่องทางวิ่งเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ บนพื้นหรือข้างทางก็ทำง่าย รถขี่ง่ายแต่เครื่องยนต์มีกำลังสูงอยู่
โค้งที่สลับซับซ้อน ช่วงล่างกับอัตราเร่งทำให้ขี่ได้สนุก เข้าโค้งต่อเนื่องได้สนุกโดยไม่ต้องเปลี่ยนท่าขี่เลยก็ยังไหว แต่ถ้าจะจัดท่าแบบเรซซิ่งแทงเข่าหรือแบบโมตาดก็ตามสะดวกแล้วล่ะเพราะรถเลี้ยวง่ายมาก อัตราเร่งออกจากโค้ง ในทุกๆ โค้งเร้าใจ สนุก ผมมี กดเบรกหน้าในโค้งบ้างแต่รถไม่มีอาการสะดุดจากการเบรก โช้คหน้าก็ไม่ยุบจนพับเสียอาการ การยืนขี่ก็ไม่เคอะเขิน แฮนด์ที่สูงรับกับท่ายืนขี่พอสมควรเลยล่ะ คือยืนขี่แล้วยังรู้สึกพอดี แฮนด์ไม่เตี้ยหรือสูงไป ทำให้ยังสามารถคุมรถได้ดี
อีกอย่างคือข้อมูลที่ได้จากพี่เอ๋อ 8080 และ พี่เปาว์ บุตรดา ผู้ที่มี Scramble ตัวเดิมในครอบครองและร่วมทดสอบกับผม ทัง 2 บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเบาะนั่งใหม่นั่งสบายกว่าโฉมเดิมเยอะ โดยเฉพาะการขี่ทางไกลในการทดสอบนี้ รู้สึกสบายกว่าโฉมเดิมชัดเจน ผมก็ต้องขอขอบคุณข้อมูลที่พี่ทั้ง 2 คนบอกมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
รอบบ่ายมาต่อที่ Ducati Scrambler Desert Sled
Desert Sled เป็นสไตล์ที่พัฒนามาจากรุ่น Urban Enduro นั่นเอง และในการทดสอบขี่ Desert Sled จะขี่ทั้งบนทางเรียบและในทางออฟโร้ด สลับกัน ในทางออฟโร้ดจะมี 2 ช่วงรวมระยะทางประมาณ 30-40 กิโลเมตร เพราะด้วยสไตล์รถที่มาในแนว Flat track หรือลุยทางเดิร์ทชัดเจน (Icon ก็ flat track ได้เลยนะ) มาดูข้อมูลเฉพาะตัวของ Desert Sled ที่ต่างจาก Scrambler รุ่นอื่นกันก่อน
อะไรที่ Desert Sled ต่างจากพวก
ด้วยสไตล์ของรถช่วงล่างของ Desert Sled จึงต่างและใช้คนละชุดกับ Scrambler ทุกรุ่น โช้คอัพหน้า Kayaba แบบ Upside down ขนาด 46 มม. ปรับได้ทุกจุด มีระยะยุบ 200 มม. โช้คอัพหลังเดี่ยว Kayaba ปรับพรีโหลดและรีบาวน์ได้ มีระยะยุบ 200 มม. ล้อซี่ลวดสีดำ ล้อหน้าขนาด 3.00 x 19 นิ้ว ล้อหลังขนาด 4.50 x 17 นิ้ว ยาง Pirelli รุ่น Scorpion Rally STR ยางหน้าขนาด 120/70R19 ยางหลังขนาด 170/60R17 ด้วยช่วงล่างทั้งหมดทำให้เบาะมีความสูง 860 มม. (Low seat 840 มม.)
ใต้ท้องรถก็สูง 238 มม. ส่วนระบบเบรกและระบบ Cornering ABS เหมือนกันกับ Scrambler ทุกรุ่น แต่น้ำหนักตัวรวมของเหลวจะอยู่ที่ 209 กิโลกรัม หนักขึ้นนั่นเอง จุดเด่นที่ต้องพูดถึงใน Desert Sled คือมีการ์ดไฟหน้า บังโคลนหน้ายกสูง เฟรมแดง การ์ดใต้เครื่อง บังโคลนหลังพร้อมที่ยึดป้ายทะเบียน มีระบบ Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์(ยังไม่ได้ลอง เสียดาย) และสุดท้ายคือมีโหมด Off-Road ให้เลือกใช้
รอบบ่ายลุยฝนตลอดทาง
ดังคำกล่าว “ฝนแปดแดดสี่” ภาคใต้ฝนที่ตกชุกจนมีฤดูในยาวนานถึง 8 เดือน คือตกได้ตลอด นึกจะตกก็ตก และจากแดดร้อนๆ ฟ้าโปร่งๆ ในตอนเช้าถึงเที่ยง พอบ่ายเราก็เจอฝนตามนั้น ด้วยช่วงล่างของ Desert Sled ที่ทำมา “เผื่อ” ลุยทาง Off Road ผมใช้คำว่า “เผื่อ” นะครับใช่ “เพื่อ” เพราะ Desert Sled ไม่ใช้รถ Enduro ที่ไว้ลุยหรือเข้าป่าโดยตรง ถ้าจะขี่เข้าให้ได้ก็เหนื่อยล่ะ บอกเลย ใช้รถให้ถูกประเภทกับการใช้งานงานจะมีความสุขบนอานรถเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยนะ
ด้วยช่วงล่างที่สูงทำให้เบาะนั่งสูงขึ้น ความสูง 172 ของผม เมื่อคร่อมรถแล้ววางเท้าข้างเดียวไม่เต็มพื้นถ้าไม่ขยับก้นช่วย แน่นอนถ้าวาง 2 เท้าพร้อมกันจะวางได้แค่เกือบครึ่งเท้าเท่านั้น เมื่อรวมกับน้ำหนักตัวที่ 209 กิโลกรัมแล้ว เมื่อต้องการจะเข็น Desert Sled แนะนำให้ลงจากรถแล้วเข็นข้างรถจะสะดวกที่สุด
ทางเรียบก่อนเลย
การตอบสนองของเครื่องยนต์แทบไม่ต่างจาก Icon แม้ว่าโหมดขับขี่ที่ถูกตั้งไว้ให้ขี่ในโหมด Off Road โหมดเดียว และเอาจริงๆ ท่าขี่เกือบจะไม่ต่างจาก Icon นะ ท่าขี่สบายๆ แต่รู้สึกสูงกว่า แต่ฟีลลิ่งของท่านั่งและช่วงล่างจะรู้สึกต่างกันชัดเจนในทางโค้งที่ให้อารมณ์เป็นโมตาดมากกว่า
การขี่เข้าโค้งด้วยท่าเตะขาแบบโมตาดหรือขี่แบบ Lean Out ทำให้เลี้ยวได้คล่องตัวกว่าปัจจัยอีกอย่างอาจจะเป็นยางที่ใช้ต่างรุ่นต่างขนาดกัน…การทำความเร็วทางตรงท่ามกลางสายฝนหนักๆ ช่วงล่างไม่แกว่งหรือเป๋ เบรกก็ยังคงความสมูธไม่ต้องลุ้นหรือไม่ “ลื่นแพร่ด” ให้ตกใจ ช่วงล่างระบบเบรกยังทำหน้าที่ได้อย่างน่าพอใจเช่นเดียวกับ Icon แต่!!
Off Road ในสายฝน
ทาง Off Road ที่ทางทีมงานวางไว้ เป็นเส้นทางผ่านสวนของชาวบ้าน ที่เป็นทางแบบหินลอย ลูกรัง ทางดิน สลับด้วยหลุมน้อยใหญ่สลับกัน มีขึ้นลงเนินสั้นๆ บางช่วง ในช่วงแรกเรายังไม่เจอสายฝนจึงค่อนข้างทำความเร็วได้ดีเลยล่ะ ยืนขี่รูดได้สบายๆ ช่วงล่างเก็บแรงกระทำจากสภาพทางได้ดี รถไม่เสียอาการ ทำให้สามารถคอนโทรลรถในเส้นทางแบบนี้ได้สบายๆ
ช่วงที่ 2 โดนฝนเต็มๆ กับสภาพเส้นทาง Off Road ที่ “เละ” กว่าเดิม สายฝนกอปรกับชิลด์หน้าหมวกกันน็อคของผมที่เป็นชิลด์ดำและถูกเกาะด้วยฝ้าจากลมหายใจของผมเองและสุดท้ายตาที่สั้นและไม่ได้ใส่แว่นของผม ทัศนวิสัยการมองเห็นจึงน้อยมาก ผมจึงได้แต่ยืนขี่หนีบรถและบิดคันเร่งตามไฟท้ายเบลอๆของคันหน้าไป จึงขี่ตกหลุมบ่อที่ลึกแบบไม่ตั้งใจหลายหลุมด้วยความแรงและเร็ว แต่ช่วงล่างก็ช่วยให้ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างน่าประทับใจ ผลจากโช้คอัพที่ติดตัวมาเฉพาะรุ่นและล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว เรียกว่าเอาไป “รูด” ได้เลยจ้า นี่แหล่ะที่ผม “แต่!!” ไว้ เพราะช่วงล่าง Desert Sled ต่างจาก Icon ชัดเจน
Land of Joy
ระยะทางการทดสอบรวมมากกว่า 200 กิโลเมตร ก็ต้องบอกว่า Scramble ทั้ง 2 รุ่นทำได้น่าประทับใจ ในเรื่องของความสนุกในการขับขี่ กำลังเครื่องยนต์ อัตราเร่ง ช่วงล่าง ระบบเบรก รวมไปถึงท่านั่งที่สบาย เป็นรถที่ใช้งานได้รอบด้าน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
- 2019 Ducati Scramble Icon ราคา 389,000 – 395,000 บาท
- 2019 Ducati Scrambler Desert Sled ราคา 480,000 บาท
Scrambler Icon โดดเด่นกว่าในเรื่องการใช้งานทุกๆ วันในเมือง เพราะความสูงที่กำลังพอดี ส่วน Scrambler Desert Sled มีดีกว่าสำหรับคนที่ชอบออกจากเส้นทางหลักเข้าไปถึงจุดท่องเที่ยวที่ทุรกันดารได้ดีกว่า ได้รูปสวยกว่าด้วยนะ อิอิ ส่วนสไตล์ และดีไซน์ของรถต้องถามใจตัวเองแล้วล่ะ ถ้าถามส่วนตัวผม ผมชอบ Desert Sled มากกว่าด้วยดีไซน์และความไร้เหตุผลเท่านั้นเอง ก็ชอบอ่ะค้าบ!!
Special Thank : บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด (Ducati Thailand)
เปิดตัวรถ Ducati รุ่นใหม่ในงาน 2019 Motorshow คลิกตรงนี้เลย