เกริ่นนำกันก่อน การทดสอบครั้งนี้ผมได้รับเชิญไปทดสอบ Triumph Tiger 800 ถึงประเทศโมรอคโค ด้วยการเชิญของ บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จํากัด ผ่านทางนิตยสารโมโตครอสที่ผมสังกัดหรือทำงานอยู่ในขณะนั้น ก็ต้องขอขอบคุณทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวไว้ ณ โอกาสนี้ครับ รวมถึงภาพถ่ายตอนผมทดสอบชุดนี้ ที่ยังโหลดได้จากไทรอัมพ์ส่วนกลางหรือทาง Official นั่นเลย ขอบคุณครับ
การทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2018 หรือผ่านมาปีกว่าๆ แล้ว แต่ปัจจุบัน Triumph Tiger 800 ทั้งรุ่น XRT และ XCA ที่ขายอยู่ก็ยังเป็นโฉมนี้ เรามาดูกันอีกทีว่า Adventure-Touring ขนาดกลางจากอังกฤษนี้มีอะไรดี ซึ่งดีจริงๆ นะ บอกเลย
“Tiger” รหัสของรถ Adventure Touring จาก Triumph น้อยคนนักจะรู้ว่ามีสายการผลิตมายาวนานกว่า 80 ปี แต่ถ้าเป็น Triumph Tiger 800 ที่ปล่อยออกสู่สายตาโลกครั้งแรกรวมถึงในประเทศไทยเมื่อปี 2010 ก็จะเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของนักบิดชาวไทยเป็นอย่างดี ด้วยดีไซน์อันดุดันพร้อมเครื่องยนต์ 3 สูบที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ยังคงความประทับใจให้ “นักเล่น” ได้ถึงทุกวันนี้ แต่เทคโนโลยีและวิศวกรรมโลกของ 2 ล้อติดเครื่องที่ก้าวกระโดด
ปี 2018 ไทรอัมพ์ก็ได้เปิดตัว All New Triumph Tiger 800 ใหม่หมดทั้งคัน พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีไฮเทคล้ำสมัยรอบคัน All New Tiger จึงพร้อมจะขย้ำทุกอย่างที่ขวางหน้า!! ซึ่งผมรับหน้าที่ไปขี่เสือทั้ง 2 ตัวถึงประเทศโมรอคโค จะพร้อมขย้ำจริงไหม ตามมาเลย!!
Deliver All The Key Tiger Characteristics
อย่างที่กล่าว All New Triumph Tiger มีการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดมากกว่า 200 รายการ โดยเฉพาะในรุ่น XCA ที่มีเทคโนโลยีเอื้อต่อเส้นทาง Off Road ลุยได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในตระกูล Tiger ส่วนในรุ่น XRT เติมเต็มการเดินทางทั้งใกล้และไกลให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งคู่มีเครื่องยนต์แบบ Triple Engine ที่ให้การตอบสนองดุดันพร้อมเสียงที่ก้าวร้าวเป็น Triumph’s Signature จัดเต็มเทคโนโลยีล้ำสมัยและใช้งานได้ง่าย มี Handling ดีคุมง่ายและเป็นกลางใช้งานได้ทั้งมือใหม่และมือเก๋าประสบการณ์ มีสไตล์ที่โดดเด่น การผลิต งานสี งานประกอบพรีเมียมเต็มอัตรา
“XRT” Better for The Road
ไม่ต้องเกริ่นกันเยอะ เริ่มขี่กันเลย ซึ่งผมได้เข้าร่วมการขี่ทดสอบ All New Triumph Tiger 800 XRT และ XCA ที่เมืองมาราเกซ ประเทศโมรอคโค โดยมีเส้นทางให้ทดสอบทั้ง On Road และ Off Road ครบครัน เมืองทะเลทรายแต่กลับมีภูมิอากาศหนาวเย็นโดยเฉลี่ย 5 – 6 องศาเซลเซียส กลางคืนถึงติดลบ พร้อมสายฝนที่มาตลอดและที่พิเศษ(หรือเปล่า) คือมีหิมะตกลงมาในทะเลทราย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ในรอบ 100 ปีจะมีซักหน!!
ผมได้ทดลองขี่ XRT ก่อน ซึ่งเน้นการเดินทางหรือใช้งานประจำวันในแบบ On Road(มากกว่า XCA) ล้อจึงเป็นล้อแม็กขนาด 19 นิ้วที่ล้อหน้าและ 17 นิ้วที่ล้อหลัง รวมถึงยาง Metzler Tourance หน้า-หลังขนาด 100/90-19 และ 150/70-17 ต่างจากรุ่น XCA ชัดเจน
มีช่องเสียบชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ แบบ USB ที่ใต้เบาะและแบบช่องจุดบุหรี่ที่สวิทซ์กุญแจ… ไฟส่องสว่างทั้ง 2 รุ่นเป็น LED ทั้งคัน มี Daytime Running light ทีมองแล้วเหมือนตาเสือเมื่อโดนแสงไฟ(ม่านตาจะหรี่) ติดตั้ง Fog Light มาให้เรียบร้อย… สัมผัสแรกคือท่านั่งหรือโพสิชั่นที่เป็นอิสระ สบาย ไม่ต้องปรับตัวเพื่อเข้าหากับรถมากนัก เตะตาด้วยเรือนไมล์แบบ TFT Full Colour ขนาด 5 นิ้ว ทันสมัยสุดๆ ปรับธีมและสไตล์ได้อีกด้วย!! เข้าถึงเมนูต่างๆ ด้วยปุ่มจอยสติ๊กเรืองแสง 5 ทิศทางที่สวิทซ์แฮนด์ด้านซ้าย…เสียงเครื่องยนต์ดุดันเร้าใจในแบบสปอร์ตต่างจากโมเดลเดิมอย่างชัดเจน ต้องลองไปฟังครับ
5 Mode & Cruise Control
ผมยืนขี่ออกตัวไปเพราะเส้นทางหน้าที่พักเป็นดินลูกรังเละๆ จากสายฝน การยืนขี่ก็ให้ความคุ้นเคยและควบคุมรถได้ง่าย มีการปรับระยะแฮนด์ให้เข้าใกล้คนขี่ 10 มม. จะมีแต่พักเท้าที่เป็นยางเท่านั้นที่ไม่ค่อยเกาะกับพื้นของรองเท้าโมโตครอสเท่าที่ควร ยิ่งโดนฝนด้วยแล้วนะ “ลื่นอยู่” รวมถึงแป้นเบรกที่ควรปรับตั้งใหม่เมื่อต้องใช้รองเท้าโมโตครอสหรือเอ็นดูโร่ขี่ ไม่งั้นไฟเบรกจะแดงตลอดทางนะจ๊ะ!!
รุ่น XRT มี 5 โหมดการขับขี่ให้เลือกใช้(Rain, Road, Sport, Off Road, Rider) ผมใช้โหมด Road สลับไปมากับโหมด Sport อัตราเร่งมีความต่างมีให้รู้สึกได้ ในรอบต่ำ – กลาง ของโหมด Sport จี๊ดจ๊าดกว่า ซึ่งการตอบสนองของเครื่องยนต์ใหม่นี้กระฉับกระเฉงกว่าเครื่องยนต์เดิมอย่างรู้สึกได้
พละกำลังเรียกใช้ได้ทันอกทันใจ กำลังจะมาแบบเนียนเรียบ สมู้ท ควบคุมง่าย คลัทช์แบบเคเบิ้ลนิ่มเบาแรง และการปรับโหมดสามารถปรับได้เลยโดยไม่ต้องหยุดรถ เลือกโหมด คืน(ยก)คันเร่งกด Select ก็จะได้โหมดที่ต้องการ(ยกเว้นโหมด Off Road) มี Cruise Control ให้ใช้
ช่วงล่างรหัส XRT เป็นของ Showa ปรับได้ทุกจุด ให้ฟีลลิ่งแน่นพอสมควร แต่ยังมีอาการอยู่บ้าง เพราะผมไม่ได้ปรับตั้ง ด้วยสภาพถนนที่ไม่เนียนเรียบซะทีเดียว ในการเบรกหนักๆ หรือเข้าโค้งบนเขาที่มีกรวดลอยอยู่เป็นระยะๆ รวมถึงสภาพอากาศที่หนาวจัด และยางติดรถจึงยังให้การตอบสนองที่ยังให้ความรู้สึกไม่มั่นใจนัก!! แต่โดยรวมยังทำได้ดี กระชับ เลี้ยวง่ายและไว โดยไม่ต้องจัดท่า
ผมได้ทดลองใช้ Heated Grip & Seat ในรุ่น XRT และ XCA จะมีอุ่นเบาะคนซ้อนเป็นออฟชั่นพิเศษติดมาด้วยเลย สั่งใช้งานที่สวิทซ์แฮนด์ เลือกระดับความร้อนได้ มีสัญลักษณ์เป็นรูปแฮนด์และเบาะนั่งบนเรือนไมล์ TFT ผมเลือกระดับที่ให้ความร้อนสูงสุด เพราะอากาศและลมปะทะหนาวมาก หนาวเย็นจนมีคำเตือนขึ้นบนหน้าจอว่า “อากาศต่ำมาก ระวังลื่นน้ำแข็งที่อาจเกาะอยู่บนพื้น”(เป็นภาษา Eng นะ) ก็จริงครับเพราะรอบข้างที่เป็นทะเลทรายกลับมีหิมะปกคลุมขาวโพลนไปสุดลูกหูลูกตา
ได้ชุด REV’IT! ช่วยให้อุ่นขึ้นเยอะ(ถึงผมจะลืม liner กันหนาวติดมาด้วยก็เถอะ) ผมลองโหมด Rain รถก็มีการตอบสนอง “อืด” ลงจากเดิมชัดเจน เหมาะกับพื้นลื่นๆ ปลอดภัยและมีประโยชน์อย่างมาก …ชิลด์บังลมหน้าบังลมที่ปะทะได้ดี ปรับได้ 5 ระดับความสูง-ต่ำด้วยมือ มีแผ่นบังลมซ้าย-ขวาหรือ Aero Diffuser เพิ่มขึ้นมา ให้ประสิทธิภาพการตัดลมได้ดียิ่งขึ้น มีแอร์โร่ไดนามิกดีให้ความเสถียรในการวิ่งด้วยความเร็วสูงๆ ไม่แกว่งวูบวาบ
อัตราเร่งทันใจ ความเร็วยืนพื้นเฉลี่ยที่ 120 -140 km/h สามารถกระชากคันเร่งไปสู่ 160-170 km/h เพื่อไล่กลุ่มหน้าหรือเพื่อแซงได้ง่ายๆ เหลือๆ Ride by Wire เบาแรง แตะๆ ก็พุ่ง Sensitive ไว เบา ให้ความรู้สึกดี ช่วงล่างหนึบเมื่อขี่ “ร่อน” หรือ “โบก” แซงรถในความเร็วสูง กำลังเบรกคู่หน้าจาก Brembo ไว้ใจได้มาก
“XCA” 6 Mode “Off Road Pro” & WP Suspension
ช่วงบ่ายผมสลับมาขี่รหัส XCA อย่างแรกเลยคือความลงตัวของเจ้า XCA ไม่ว่าจะเป็นล้อซี่ลวดขนาด 21 นิ้วที่ล้อหน้า และ 17 นิ้วที่ล้อหลัง การ์ดเครื่องยนต์การ์ดแคร้งที่ถูกติดตั้งมาพร้อมจากโรงงาน โช้คอัพ WP ที่มีกระบอกสีดำดุดัน ผมจึงรู้สึกถูกชะตา XCA เป็นพิเศษ คือ หล่ออ่ะ
ความสูงของ XCA มีมากกว่า XRT เห็นได้ชัด เบาะนั่งก็สูงกว่า โดยมีความสูง 860 mm. สามารถปรับลงให้อยู่ที่ 840 mm. ในรุ่น XRT ก็สามารถปรับสูงต่ำของเบาะนั่งได้เช่นกันโดยมีระยะความสูงเบาะให้เลือกปรับที่ 810 – 830 mm. ด้วยความสูง 172 กับขาสั้นๆ ของผม ผมเลือกที่ 840 mm. ในการควบ XCA ขาทั้งสองข้างที่ใส่บูทโมโตครอสสามารถวางแตะพื้นได้เกือบเต็มเท้าพร้อมกันทั้ง 2 เท้า
ใน XCA มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 6 โหมด มีโหมด “Off Road Pro” เพิ่มขึ้นมา พ่วงด้วยขนาดล้อยาง 90/90-21 และ 150/70-17 ให้ “ลุยหนัก” อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในTiger 800
ผมขี่ออกไปด้วยโหมดเดียวกับตอนขี่ XRT แต่ความรู้สึกกลับต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของ “ช่วงล่าง” ทันทีที่เตะขาตั้งลงเพื่อเติมน้ำมันผมถึงกับบอกกับเพื่อนร่วมทดสอบว่า “ฟีลลิ่งและช่วงล่างให้ผมรู้สึกดีกว่าตอนขี่ XRT จริงๆ” เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ทีนี้ลองมาดูปัจจัยที่ทำไมให้ฟีลลิ่งที่ผมรู้สึกดีกว่ากัน
เริ่มที่ช่วงล่างของ WP ทั้งหน้าและหลังที่ให้ระยะยุบมากกว่าในรุ่น XRT และยังมีจังหวะการยุบเร็วแต่คืนตัวได้สมู้ทแน่นหนึบแม้ผมจะล็อคคันเร่งเข้าโค้งที่ 120-140 กิโลเมตร/ชั่วโมงในโหมดสปอร์ต ก็ไม่เป๋ไม่แกว่ง ยางติดรถในรุ่น XCA เป็น Bridgestone Battlewing กึ่งลุย ในสภาพแวดล้อมของการทดสอบครั้งนี้ ให้การยึดเกาะที่ดีไว้ใจได้ 2 ปัจจัยเบื้องต้นที่ให้ผมประทับใจกว่า XRT นั่นเอง
“XCA” Much Better Off Road & On Road
มีเส้นทาง Off Road สั้นๆ พอให้ได้สนุก การปรับเข้าสู่โหมด Off Road และ Off Road Pro (เฉพาะรุ่น XCA) ต้องจอดรถเท่านั้น ระดับการทำงานของ ABS และ Traction Control รวมถึง Mapping การตอบสนองของเครื่องยนต์ จะทำงานสัมพันธ์กับโหมดที่เลือก แต่ไม่ต้องห่วง
โดยทั้งรุ่น XCA และ XRT มีโหมด Rider ให้เลือกปรับตั้งทุกอย่างเองตามใจชอบ และเลือกที่จะปิดระบบ Traction Control และ ABS ได้อย่างใจต้องการ รหัส XCA พักเท้าจะเป็นโลหะกลึงขึ้นรูปในแบบรถเอ็นดูโร่ มีฟันสำหรับยึดเกาะกับรองเท้าได้อย่างดี ไม่มีลื่นหลุด “พร้อมลุย”
บนทาง Off Road ที่เป็นลูกรังแดงผสมดินและหินก้อนใหญ่บนไหล่เขา XCA ผ่านฉลุย เกียร์ 1 ที่ปรับใหม่ให้ “สั้น” เพื่อการยึดเกาะที่ดีกว่าเมื่อต้องเดินคันเร่งบนทางออฟโร้ด ผมยืนขี่รูดยับ คอนโทรลง่าย ให้ความกระชับ คล่องตัว ถึงเป็น Off Road เล็กๆ ก็พอบอกได้เลยว่าถ้าเป็น Off Road หนักๆ All New Triumph Tiger 800 XCA ทำได้ดีกว่าโมเดลเดิม “เยอะ” อย่างแน่นอน
Very impressive
All New Triumph Tiger 800 ทั้ง 2 รุ่นปรับปรุงใหม่ทั้งหมดกว่า 200 รายการ ผลคือความประทับใจเมื่อได้สัมผัส เครื่องยนต์ 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์ว ระบายความร้อนน้ำ ให้ม้าถึง 94 ตัว แรงบิด 79 นิวตันเมตร พอเพียง ขี่สนุก ไม่มากแต่ก็ไม่รู้สึกน้อยไปโดยเฉพาะในทาง Off Road เพลินไม่ว่าจะนั่งหรือยืนขี่ Riding Position ดีเยี่ยม เสียงเครื่องยนต์ผ่านท่อไอเสียสุดเร้าใจ
รุ่น XRT ช่วงล่างเน้น On Road เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ลุยได้(แต่ไม่เท่า XCA) แน่นอนว่ารุ่น XCA เหมาะสำหรับงานลุยด้วยช่วงล่างที่ใช้คนละชุดกัน รวมถึงล้อ และมีโหมด Off Road Pro เพิ่มขึ้นมา แต่เชื่อไหมว่าทั้ง 2 รุ่นขี่สนุก สามารถใช้งานได้หลากหลาย ใช้งานได้ทุกๆ วัน ใช้ท่องเที่ยวทางไกลได้โดยผู้ขี่ไม่เมื่อยล้า
ราคาในรุ่น XRT ที่ 645,000 บาท และ 655,000 บาทสำหรับรุ่น XCA คุ่มค่ากับความเป็น Tiger 800 สายลุยยุคใหม่ อาจมีข้อสังเกตบ้างในรุ่น XRT หรือจะมีประทับใจรุ่น XCA เป็นพิเศษ แต่บอกเลยว่า ถ้าได้ลอง All New Triumph Tiger 800 ทั้ง 2 รุ่นแล้วจะติดใจ ฟันธง!!!
Special Thank : บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิล(ไทยแลนด์) จำกัด, Triumph Motorcycles Thailand
: นิตยสารโมโตครอส/Moto Bigbike
: Panda Rider สนับสนุนชุดขับขี่ REV’IT! และหมวกกันน็อค Caberg